รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่กำลังจะบรรจุเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถือเป็นโปรเจ็กต์ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ ในการเคลื่อนทัพเข้าลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี
แน่นอนว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ 3 จังหวัดอีอีซี ได้แก่ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา จะเฟื่องฟูมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะที่ ฉะเชิงเทรา จังหวัดที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะด้วยบทบาทเมืองแห่งการอยู่อาศัยรองรับอีอีซี และยังเป็นตลาดเกิดใหม่ มีพื้นที่สำหรับการพัฒนาอีกมาก
นายสืบวงษ์ สุขะมงคล ประธานกรรมการบริหาร วิจิตรา กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีฐานลงทุนอยู่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ถ้ารถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินผ่านครม. ราคาที่ดินในพื้นที่จะขยับขึ้นอีกทันที โดย 3 ปีก่อนหน้านี้มูลค่าที่ดินได้ปรับสูงขึ้นมาแล้วประมาณ 30% ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็มีความคึกคักอย่างต่อเนื่องจากที่เคยขายได้เดือนละกว่า 10 หลัง เพิ่มเป็นเดือนละ 20-30 หลัง
“ตั้งแต่มีนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษตะวันออกในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทได้รับอานิสงส์ค่อนข้างมาก ซึ่งในปีนี้มีความชัดเจนในการพัฒนาโครงการมากยิ่งขึ้นและเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องของการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ โดยมีการพัฒนามอเตอร์เวย์เพิ่มเติม รวมไปถึงภาครัฐยังมีการเร่งพัฒนารถไฟความเร็วสูงเพิ่มเติม และด้วยปัจจัยเหล่านี้เชื่อว่าจะเป็นการดึงความสนใจให้กับนักลงทุนและส่งผลให้เศรษฐกิจภาคตะวันออกมีการเติบโตมากขึ้นตามไปด้วย”นายสืบวงษ์ กล่าว
สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดฉะเชิงเทราจะมีความคึกคักมากขึ้น เพราะเป็นจังหวัดที่เชื่อมโยงกับกรุงเทพฯ และพื้นที่อีอีซี มีนิคมอุตสาหกรรมอยู่ 4 แห่ง และมีแนวโน้มที่จะขยายเพิ่มได้อีกมาก ซึ่งจะทำให้มีจำนวนคนเข้ามาอยู่อาศัยในจังหวัดฉะเชิงเทราเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 200,000 คน จากปัจจุบันมี 700,000 คน ยังไม่นับรวมประชากรแฝง ซึ่งจะทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยมีเพิ่มขึ้นไปด้วย
สำหรับในปี 2561 นี้ บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการใหม่อีกประมาณ 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการมารวยริเวอร์ไซด์เฟส 2 เป็นบ้านเดี่ยว มูลค่า 1,000 ล้านบาท โครงการ มารวยโสธร เป็นบ้านแฝด มูลค่า 500 ล้านบาท โครงการภายใต้แบรนด์ใหม่”เดอะ เทรชเชอร์ โฮม”เป็นทาวน์โฮมทำเล บาง-ตราด มูลค่า 420 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส 2 นี้ โครงการ เดอะ เทรชเชอร์ วิลล์”เป็นบ้านแฝด มูลค่า 420 ล้านบาท และ โครงการ มารวย อ่อนนุช-ลาดกระบัง เป็นทาวน์เฮ้าส์ มูลค่า 500 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขายโตขึ้นอีก 30% และมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท
ส่วนกลยุทธ์การตลาดในปีนี้บริษัทจะเน้นการพัฒนาสินค้าให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในระดับที่สามารถเข้าถึงได้ และเน้นการพัฒนาสินค้าให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาบริษัทได้มีการนำเทคโนโลยีการใช้ระบบผนังคอนกรีตสำเร็จจากเอสซีจี มาช่วยใสงานก่อสร้างและสามารถช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้าง ลดปัญหาแรงงาน และทำให้ลูกค้าได้บ้านที่มีคุณภาพสูง นอกจากนี้ยังได้มีการเร่งสร้างการรับรู้แบรนด์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอีกด้วย
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนนำเข้าบริษัทเข้ตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2563 เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานของบริษัท ทั้งนี้คาดว่าหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วจะมีการพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 5 โครงการต่อปี หรือมีมูลค่ารวมประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 30% ต่อปี
สำหรับกลุ่มบริษัทวิจิตรา กรุ๊ป มีบริษัทในเครือทั้งหมด 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท แพทโก้ แลนด์ จำกัด เป็นบริษัทพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับบนภายใต้แบรนด์”วิจิตราธานี” บริษัท วิจิตรา ดีเวลล้อปเม้นท์ จำกัด พัฒนาบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยมภายใต้แบรนด์”เดอะ รอยัล สามมุข” บริษัท มารวย เรียล เอสเตท จำกัด พัฒนาบ้านเดี่ยวระดับกลาง ภายใต้แบรนด์”บ้านมารวย” และ บริษัท แพทโก้ แพลตินัม จำกัด พัฒนาทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิต ภายใต้แบรนด์”วิคทอเรีย การ์เด้น วิลล์”