การแข่งขันด้านการให้บริการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ยุค 4.0 ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น เริ่มชัดเจนและเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับ เมื่อผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่างเสริมทัพ อัพเดตบริการใหม่ๆ เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภคอย่างเต็มพิกัด ซึ่งจะส่งผลไปถึงความพึงพอใจและภาพลักษณ์ที่ดีต่อแบรนด์ที่สามารถต่อยอดไปสู่การทำตลาดกับลูกค้าใหม่ๆ ได้ในอนาคต
ล่าสุด บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดตัว Home Service Application เวอร์ชั่น 2018 โมบายแอพพลิเคชั่นที่อัพเกรดไปอีกขั้น ดร.ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้พัฒนา Home Service เวอร์ชั่น 2018 ด้วยแนวคิดที่เน้นความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ในการอยู่อาศัย ผ่านการดูแลลูกบ้านตั้งแต่ก่อนโอนไปจนถึงเข้าอยู่ ด้วยบริการและฟังก์ชั่นที่อำนวยความสะดวกในทุกมิติของการใช้ชีวิตประจำวัน โดยปัจจุบัน มีผู้ใช้ถึงกว่า 15,000 คน จาก 154 โครงการ 52,000 ยูนิต ทั่วประเทศ
“เพื่อสร้างความพึงพอใจยิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้งาน รวมถึงดึงดูดกลุ่มผู้ใช้งานใหม่ ๆ สู่เป้าหมายการเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานเป็น50,000 รายภายในปี 2561 เราจึงอัพเกรด Home Service ให้ชาญฉลาดยิ่งขึ้น ด้วยคอนเซ็ปท์ An all-in-one app to completeyour everyday living experience เพื่อตอบโจทย์ความต้องการใหม่ ๆ และรองรับเทรนด์ e-Commerce Lifestyle ของผู้บริโภค โดยแอพ Home Service จะเป็น Living Experience Toolkit เปรียบเสมือนรีโมทในมือพวกเขาที่สามารถควบคุมสั่งการได้ง่าย ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายของการใช้ชีวิตลูกค้าแสนสิริ”
สำหรับไฮไลท์ของ Home Service เวอร์ชั่น 2018 เช่น การสั่งการด้วยเสียงภาษาไทย บนแอพในมือถือที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ใช้งานได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นการถามค่าใช้จ่าย จองส่วนกลาง สั่งควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน E-Wallet เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ e-Commerce Lifestyle ที่จะช่วยให้เรื่องการจ่ายทุกค่าใช้จ่ายสะดวกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำค่าไฟ ค่าส่วนกลาง ค่าผ่อนคอนโด และในอนาคตจะรองรับการซื้อขายสินค้าและบริการต่างๆ ด้วยระบบ Payment Gateway ดึงพันธมิตรร้านค้าชั้นนำต่างๆ มารวมอยู่ใน E-Wallet จะเปิดให้ใช้ในไตรมาสที่ 3
นอกจากนี้ ยังมีสิทธิประโยชน์ และบริการต่าง จากพันธมิตรของบริษัท เช่น เอสบี เฟอร์นิเจอร์ ทั้งหมดส่วนของเฟอร์นิเจอร์แพ็กเกจที่แสนสิริร่วมออกแบบและเฟอร์นิเจอร์รายชิ้นที่คัดสรรเข้ามาไว้ในแอพพลิเคชั่น Home Service พร้อมข้อเสนอพิเศษ ซัมซุงกับสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้ากว่า 150 รายการด้วยข้อเสนอราคาพิเศษกว่าท้องตลอด วัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้านจาก SCG พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษพร้อมตัวเลือกบริการติดตั้งถึงที่ เป็นต้น
สำหรับการให้บริการอื่นๆ เช่น Trendy Wash ระบบตรวจสอบสถานะการซักผ้าของเครื่องซักผ้าภายในโครงการเพื่อตรวจสอบว่าเครื่องว่างพร้อมใช้งานหรือไม่ และระบบใช้เงินดิจิทัลแทนการหยอดเหรียญ พร้อมกับแจ้งเตือนเมื่อเครื่องซักผ้าทำงานเสร็จ ระบบ Home Automation ระบบตรวจสอบคิวลิฟท์จอดรถอัตโนมัติ ระบบควบคุม Smart Locker ระบบจอง Smart Move รวมถึงห้องแชทกับนิติบุคคลได้ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น
ด้านนางสาวสิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปสายโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และกิจการพิเศษ บริษัท โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร ศูนย์รวมวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร กล่าวว่า บริษัทได้พัฒนารูปแบบการให้บริการให้ลูกค้าสามารถใช้บริการได้ทุกที่ ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านแอพพลิเคชั่น Home Service ของโฮมโปร ที่ครอบคลุมงานบริการมากกว่า 40 บริการ เช่น บริการล้างและทำความสะอาดเครื่องใช้ภายในบ้าน บริการย้ายจุดติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า บริการปรับปรุงบ้าน รวมถึงบริการฉุกเฉินต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งบริการใหม่ที่จะเปิดในเร็วๆ นี้ เช่น บริการแม่บ้าน บริการขนย้าย เป็นต้น
ขณะที่นางสาวมนพัทธ์ พงษ์ปรีดาจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่ม Home Service บริษัท โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทได้พัฒนาระบบมานาน และเมื่อทุกอย่างนิ่งและเรียบร้อยแล้วก็ได้โอกาสเปิดตัวแอพ Home Service บริการให้กับลูกค้า ซึ่งตรงนี้คือจุดแข็งที่ทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ โดยมุ่งเน้นคนกรุงเทพฯ คนเมือง ที่ไม่ค่อยมีเวลา และหาช่างในเมืองลำบากและมีราคาแพง โดยตั้งเป้าในช่วง 2-3 เดือน จะมีผู้โหลดแอพพลิเคชั่น Home Service 10,000 ราย และคาดว่าจะมียอดขายผ่านโปรแกรมปีนี้ 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับกลุ่ม Home Service ที่ปีนี้วางเป้ารายได้ 900 ล้านบาท
ขณะที่ นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) ผู้พัฒนาอาคารชุดพักอาศัยแบรนด์ “ลุมพินี” กล่าวว่า บริษัทได้เปิดตัวแอพพลิเคชั่น LPN SHARE เพื่อตอกย้ำความเป็น “ชุมชนน่าอยู่” ภายใต้วัฒนธรรม “ร่วมใจ ห่วงใย แบ่งปัน” โดยฟีเจอร์แรกที่จะบรรจุในแอพพลิเคชั่นดังกล่าวคือ ฟีเจอร์ “คาร์พูล” (Carpool) ชื่อ แอลพีเอ็น แชร์ บาย ลิลูน่า ซึ่ง LPN ได้จับมือกับสตาร์ทอัพ ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น ลิลูน่า เพื่อพัฒนาบริการ “คาร์พูล” ให้กับเจ้าของร่วมคอนโดลุมพีนี ได้ทดลองให้บริการเป็นแห่งแรกที่โครงการลุมพินี เพลส พระราม 9 – รัชดา และตั้งเป้าที่จะขยายการให้บริการไปยังเจ้าของร่วมในโครงการ “ลุมพินี” ทุกโครงการซึ่งปัจจุบันมีอยู่ราว ๆ 2.5 แสนรายทั่วประเทศ โดยเป็นหนึ่งในแนวคิดการดำเนินธุรกิจที่เน้นคุณค่าของการบริการ (Service Value) และมุ่งมั่นกับการสร้าง “ชุมชนน่าอยู่”
ระบบคาร์พูลเป็นระบบการเดินทางที่ใช้รถร่วมกันเพื่อโดยสารในเส้นทางเดียวกัน แบบ “ทางเดียวกัน ไปด้วยกัน” ซึ่งแคมเปญคาร์พูลนี้ก็ได้มีการรณรงค์ในประเทศไทยมาพอสมควร จนคนไทยคุ้นเคยกันดีกับคำว่า “คาร์พูล” ดังนั้น การเลือกฟีเจอร์ด้วยระบบคาร์พูลจึงเป็นสิ่งที่คนไทยคุ้นเคยและเหมาะสมกับชุมชนใหญ่อย่าง “ลุมพินี” ที่จะใช้ระบบดังกล่าวเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ประกอบกับ LPN-LILUNA มีนโยบายตรงกันในด้านการสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน (CARE & SHARE) ภายใต้วัฒนธรรมที่ดีในการอยู่อาศัย “ร่วมใจ ห่วงใย แบ่งปัน” เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม และสังคมที่ดี
“ที่สำคัญการใช้ระบบคาร์พูลยังช่วยให้เจ้าของร่วมใน “ลุมพินี” ได้รู้จักกันมากขึ้น เป็นการกระชับความสัมพันธ์ของคนในชุมชน สร้างมิตรภาพใหม่ๆ ระหว่างการเดินทาง ก่อเกิดเป็นสายใยเชื่อมความสัมพันธ์ใหม่ที่ดีงาม อีกทั้งยังเป็นการลดการใช้รถยนต์ พลังงาน และปัญหาการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนอีกด้วย” นายโอภาสกล่าว
ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้พักอาศัยของ LPN พบว่า ทุก ๆ 10 นาทีจะมีคนเรียกแท็กซี่เพื่อเดินทาง ซึ่งจุดหมายปลายทางก็มีทั้งสถานที่ที่แตกต่างกัน สถานที่เดียวกัน หรือสถานที่ที่เป็นทางผ่านของผู้พักอาศัยด้วยกันเอง ดังนั้น การเลือกฟีเจอร์ดังกล่าวจึงเป็นการตอบโจทย์ทั้งกับผู้ขับขี่และผู้ร่วมทาง นอกจากนี้ LPN SHARE by LILUNA ยังมีฟังก์ชั่น LPN Board เพื่อให้ผู้ใช้บริการแจ้งเส้นทางที่ต้องการเดินทาง เพื่อหาผู้ร่วมเดินทางหรือผู้ขับขี่ หรือในกรณีที่ผู้ขับขี่ไม่ได้สร้างเส้นทางไว้ล่วงหน้า ผู้ใช้บริการก็สามารถใช้ฟังก์ชั่นนี้ เพื่อหาเพื่อนร่วมทางสำหรับการแชร์ค่าแท็กซี่ด้วยกันก็ได้ เนื่องจากภาระค่าเดินทางที่หนักพอสมควรกับค่าครองชีพและภาวะเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน