นอกจากการเข้าร่วมลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มทุนต่างชาติจะเป็นไปอย่างเนืองแน่น ไม่เพียงเฉพาะการเข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมของกลุ่มทุนสัญชาติญี่ปุ่น หรือการเข้ามากว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ของนักลงทุนชาวจีนเท่านั้น เพราะล่าสุดมีความเคลื่อนไหวของการลงทุนจากทุนต่างชาติกลุ่มอื่นๆ ที่สนใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องด้วยเช่นกัน
กลุ่มทุนญี่ปุ่นสนใจพัฒนา Eco city ในไทย
นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า กลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนา Eco city ซึ่งได้รวมกลุ่มกันภายใต้ชื่อ Japan Conference on Overseas Development of Eco-Cities หรือ J-CODE มีความสนใจจะเข้ามาลงทุนร่วมพัฒนาเมืองในโครงการขนาดใหญ่ในเมืองไทยอย่างเช่นโครงการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอี โดยได้ติดต่อผ่านทางสมาคม และได้เข้ามาร่วมสัมมนาแลกเปลี่ยนความเห็นกับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยไปเมื่อไม่นานมานี้
J-CODE เป็นหน่วยงานของญี่ปุ่นที่ส่งเสริมนักลงทุนญี่ปุ่นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองในรูปแบบของ Eco city ซึ่งมีทั้งเรื่องของเทคโนโลยี่ที่เกี่ยวข้องกับ Smart City เทคโนโลยี่ด้านการประหยัดพลังงาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน เพื่อให้เข้าไปลงทุนในต่างประเทศ โดยได้ติดต่อผ่านทางสมาคมแสดงความสนใจที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในเมืองไทย โดยร่วมมือกับบริษัทภาคเอกชนของไทย ทั้งในการแลกเปลี่ยนความรู้ และการนำเทคโนโลยี่ใหม่ๆ เข้ามาใช้
ทั้งนี้ สมาคมได้จัดสัมมนา โดยเชิญผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนขนาดใหญ่ของไทยที่ทาง J-CODE ให้ความสนใจ เช่น การพัฒนาในพื้นที่อีอีซี การพัฒนาพื้นที่สถานีกลางบางซื่อ เป็นต้น ซึ่งหากมีความสนใจเข้ามาลงทุนในรูปแบบไหน สมาคมจะช่วยประสานงานให้ J-CODE และผู้ประกอบการไทยได้ไปเจรจาธุรกิจกันต่อไป
กลุ่ม J-CODE ซึ่งเป็นผู้ประกอบการด้านการพัฒนา Eco city ในญี่ปุ่น เดินทางมาไทยเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการลงทุนกับผู้ประกอบการในสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร
ไต้หวันเตรียมรุกขยายตลาด Smart home
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับระบบสมาร์ทโฮม สมาร์ท บิลดิ้ง จากไต้หวันสนใจจะเข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทย เนื่องจากแนวโน้มของเทคโนโลยี่เกี่ยวกับบ้านทั้งเรื่องของ Internet of things หรือ home automation ต่างๆ ซึ่งถือเป็นเทรนด์ที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยได้นำเทคโนโลยี่เหล่านี้มาใช้มากขึ้น เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภครุ่นใหม่ และเป็นการแก้ปัญหาแรงงานด้านการรักษาความปลอดภัย หรือแม่บ้านที่ขาดแคลน
อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยี่เหล่านี้มาใช้ต้องต้องมีความเหมาะสม ทั้งในแง่ของความจำเป็นในการใช้ และเซ็กเมนต์ของสินค้า ซึ่งทางสมาคมได้ให้ทางไต้หวันช่วยดูเรื่องสินค้าและเทคโนโลยี่ที่เหมาะสมในแต่ละแต่เซ็กเมนต์ของตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ซึ่งสมาคมก็เปิดกว้างหากมีทางเลือกด้านเทคโนโลยี่ที่สามารถรองรับและแก้ปัญหาให้กับผู้ประกอบการในไทยได้ โดยจะนำเสนอข้อมูลผ่านไปยังผู้ประกอบการในสมาคมที่สนใจเทคโนโลยี่ดังกล่าว
ยักษ์ก่อสร้างจีนร่วมทุนไทยขยายฐานอาเซียน
นอกจากกลุ่มทุนใหม่ๆ จากญี่ปุ่น ไต้หวัน ที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในเมืองไทยแล้ว จีนก็ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในหลากหลายช่องทางของภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วยเช่นกัน ทั้งการเข้าร่วมโครงการบ้านประชารัฐของรัฐบาล หรือการร่วมลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยกับการเคหะแห่งชาติ รายล่าสุดเป็นกลุ่มทุนรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของจีนที่ต้องการเข้ามาลงทุนทั้งงานรับเหมาก่อสร้างภาครัฐและเอกชน
นายหลี่ อวี้ จง กรรมการผู้จัดการ บริษัท จงเทียน โอเวอร์ซีส์ เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารระดับสูงของ จงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป บริษัทก่อสร้างรายใหญ่ของจีน กล่าวว่า เปิดเผยว่า บริษัทได้เริ่มขยายฐานธุรกิจไปยังต่างประเทศตั้งแต่ปี 2556 โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเพื่อขยายฐานต่อไปยังมาเลเซีย กัมพูชา และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
ทั้งนี้ จากการที่รัฐบาลไทยให้การสนับสนุนโครงการอีอีซี ส่งผลให้มีนักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก ล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา บริษัทได้เซ็นสัญญาร่วมทุนกับ บริษัท รุ่งฟ้าเสริม คอร์ปอเรชั่น จำกัด ตั้งบริษัท จงเทียน โอเวอร์ซีส์ เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย)จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท (ชำระเต็ม) โดยกลุ่มรุ่งฟ้าเสริมถือหุ้นสัดส่วน 51% และกลุ่มจงเทียนถือหุ้นสัดส่วน 49% เพื่อรับเหมางานก่อสร้างทั้งในและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายธุรกิจในสิ้นปีนี้ จะมีรายได้อยู่ในระดับ 2,500 ล้านบาท และตั้งเป้าภายในปี 2564 จะมียอดรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 5,000-10,000 ล้านบาท
การร่วมทุนในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่จะได้นำเอาความแข็งแกร่งของจงเทียน ที่โดดเด่นด้วยผลงานที่หลากหลาย รวมถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยี การก่อสร้างใหม่ๆ เข้ามาใช้ในประเทศไทย อาทิ เทคนิคการวางแผนการก่อสร้างด้วยระบบคอมพิวเตอร์ให้ครอบคลุมทุกกระบวนการ ทั้งการกำหนดปรับเพิ่มประสิทธิภาพคน การใช้วัสดุและการควบคุมการต่อเนื่องของการก่อสร้าง ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียในการก่อสร้าง เป็นต้น
ด้านนายสุวรรณ ไพศาลเฟื่องฟุ้ง ประธานกลุ่มบริษัท รุ่งฟ้าเสริม คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมาเป็นระยะเวลาเกือบ 40 ปี พัฒนางานวิศวกรรม รวมถึงงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ให้กับภาครัฐและองค์กรเอกชนมาแล้ว ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม และหลายประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และด้วยภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้น รวมถึงด้วยศักยภาพการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอาเซียนและในประเทศไทยที่มีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน อีกทั้งยังมีความเป็นรูปธรรมในการลงทุนของภาครัฐ และโครงการอีอีซี ที่เห็นความชัดเจนมากขึ้น แต่ด้วยความที่ยังเป็นบริษัทขนาดเล็ก จึงต้องร่วมทุนเพื่อให้สามารถขยายฐานธุรกิจได้มาก
“กลุ่มจงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป ถือเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการก่อสร้างจีนมีความเป็นมืออาชีพ เป็นผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมการก่อสร้างของจีน โดยเฉพาะความแข็งแกร่งทางด้านเทคโนโลยี มีระบบงาน และผลงานในระดับสากลทุกด้าน และเมื่อกว่า 3ปีมาแล้วได้ร่วมทำธุรกิจร่วมทุนในรูปแบบ Joint venture เพื่อสร้างอาคารโครงการสำเพ็ง 2 และคอนโดมิเนียม “J-Condo” รวมไปถึงโครงการในกัมพูชา 2 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวม 3,200 ล้านบาท ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีจึงได้ร่วมกันเปิดตัว บริษัท จงเทียน โอเวอร์ซีส์ เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นมา โดยเน้นงานรับเหมาก่อสร้างโครงการในรูปแบบต่างๆ ครอบคลุมทั้งอสังหาริมทรัพย์ ในย่านธุรกิจ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงสาธารณูปโภคของภาครั ฐและเอกชน เน้นการก่อสร้างอาคารสูงและโรงงานอุตสาหกรรม เป็นหลัก"
นายสุวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับงานแรกที่คาดว่าจะได้เข้าไปดำเนินการก่อสร้าง คือโครงการ อาร์ติซาน รัชดา ของกลุ่ม BIGUIYUAN เพื่อพัฒนาเป็นคอนโดมิกซ์ยูส ย่านพระราม9 มูลค่าค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจา คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในระยะเวลา 2 เดือน