หากพูดถึงบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS แล้ว ภาพแรกหนีไม่พ้นการเป็นผู้เดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว และสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ที่วิ่งขนส่งผู้โดยสารเขตกรุงเทพ ชั้นในไปยังโซนนอกเมือง แต่กลุ่มบีทีเอส ยังมีอีกหลากหลายธุรกิจที่น่าสนใจและกำลังเติบโตจากการขยายในช่วง 1-2 ปีเป็นอย่างมาก
กลุ่มบีทีเอส ดำเนินธุรกิจ ออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน หากแบ่งตามสัดส่วนรายได้ ธุรกิจหลัก คือ ระบบขนส่งมวลชน ภายใต้บริษัทบีทีเอสซี มีสัดส่วน 64.1 %
ที่ผ่านมาการเติบโตจากธุรกิจระบบขนส่งมวลชน ได้รับสัมปทานเดินรถสายสีเขียวเข้ม(เส้นสีลม) สายสีเขียวอ่อน (เส้นสุขุมวิท) 23.5 กิโลเมตร และสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (แบริ่ง-สมุทรปราการ) 12 กิโลเมตร ล่าสุดมีผู้โดยสาย 58 ล้านเที่ยวคน เพิ่มขึ้น 2.4 % จากปีก่อน และค่าโดยสารเฉลี่ยเป็น 27.9 บาทต่อเที่ยว
ล่าสุดพึ่งมีการประกาศปรับขึ้นค่าโดยสารเป็นทางการ 1 ต.ค. 60 อีก 1- 3 บาท จากกรอบ 15-24 บาท เป็น 16-44 บาท ทำให้ค่าโดยสารเฉลี่ยบีทีเอสเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 28.50 บาท
การเติบโตในธุรกิจนี้จะเริ่มเห็นมากขึ้นในปี 61 จากรับรู้รายได้เต็มปีสำหรับเดินรถส่วนต่อขยายในสายสีเขียวใต้ (เส้นสำโรง) และในปี 63 มีการให้บริการสายสีเขียวเหนือ (เส้นคูคต) ยังไม่นับรวมคาดการณ์ว่าจะได้เซ็นสัญญาคือสายสีเหลือง (เส้นลาดพร้าว-สำโรง) และสายสีชมพู (เส้นแคราย-มีนบุรี) รายได้ในกลุ่มนี้บีทีเอสตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่อง 10 -12% จากเส้นทางเดินรถขยายตัว และการบำรุงรักษารถไฟฟ้า (O&M)
ธุรกิจสื่อโฆษณา สัดส่วน 27.3 % โดยมีบริษัท วีจีไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) เป็นเรือธงสำคัญ ซึ่งมีบริษัทที่ซื้อเข้ามาและร่วมลงทุน อาทิ บริษัท มาร์เตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) หรือ MACO , บริษัท แอร์โร มีเดีย , บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG
เน้นพื้นที่โฆษณาตามแนวรถไฟฟ้าเป็นหลัก หากดูจากการขยายเส้นทางตามธุรกิจแรกแล้ว ภายในระยะเวลา 3 ปี จากนี้ไป คาดว่า บีทีเอส จะมีสถานีเพิ่มอีก 78 สถานี ใน 82 กิโลเมตร
บริษัทตั้งเป้าเติบโต 32 % อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 3,009 ล้านบาท โดยมีทั้งสื่อนอกบ้าน ขยายตัวตามเส้นทางเดินรถใหม่ๆ และยังมีสื่อในบ้าน คือ เนชั่น ฯ ที่มีทั้งสิ่งพิมพ์ และทีวี
ทางผู้บริหารได้ประกาศ ว่า สื่อดังเดิมที่มีอยู่ในมือขณะนี้สามารถที่พลักดันให้รายได้ในธุรกิจดังกล่าวแตะเป้าหมาย 8,000 ล้านบาท ได้อีก 3 ปีข้างหน้า (60-63) ถือว่าเร็วกว่าที่มองไว้ 5 ปี (60-65)
จากก่อนหน้านี้การเติบโตได้สะดุดไปตามทิศทางภาวะเศรษฐกิจ ทำให้กำไรของ วีจีไอ งวดปี 59-60 ลดลง 12 %
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สัดส่วน 4.7 % ภายใต้บริษัทยู ชิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ U และบริษัท ยูนิคอร์น เอ็นเตอร์ไพรส์ถือว่าเป็นธุรกิจที่พึ่งจะรุกได้ไม่นาน เห็นได้ชัดคือ การนำที่ดินตามเส้นทางรถไฟฟ้ามาทำเป็นโครงการที่พักอาศัยรวมกับ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ถึง 8 โครงการ รวมมูลค่า 3 หมื่นล้านบาท ในชื่อ เดอะ ไลน์ เปิดขายไปแล้ว 3 โครงการ
ส่วน งวดปี 60-61 บริษัทคาดการณ์เริ่มรับรู้ยอดโอน เข้ามาคิดเป็นส่วนแบ่งกำไรประมาณ 200 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.4 % ซึ่งยังเหลือทยอยเปิดตัวโครงการดังกล่าวอีก 5 โครงการมูลค่า 19,200 ล้านบาท จากงวด ปี 59-60 รับรู้ผลขาดทุนเข้ามาประมาณ 253 ล้านบาท
สำหรับพอร์ตอสังหาฯ บริษัทเองจะมีการทำโครงการแบบมิกซ์ยูส 2 แห่งในกรุงเทพฯ มีการคาดการณ์สามารถเปิดตัวโครงการแรกภายในปีหน้า และโครงการที่เหลือภายใน 4 ปีข้างหน้า
ปิดท้ายที่ธุรกิจ บริการมีสัดส่วน 3.9 % มีทั้งรับเหมาก่อสร้าง โรงแรม อาหาร สนามกอล์ฟ ฯลฯ
เรียกได้ว่าอาณาจักรของบีทีเอส ได้ขยายพอร์ตลงทุนได้เพิ่มมากขึ้นและเป็นที่สนใจด้วยว่าในอนาคตจะมีการลงทุนหรือเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับใครบ้าง ด้วยฐานะทางการเงินของกลุ่มบีทีเอสวันนี้ มีเงินสดรวม 21,326 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 542 % จาก 18,006 ล้านบาท มีอัตราหนี้สิ้นต่อทุน (ดี/อี) 1.27 เท่า
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสินคาดการณ์กำไรงวดปี 60-61 ยู่ที่ 2,255 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18 % จากปีก่อน ให้น้ำหนักการลงทุนไปที่ธุรกิจอสังหาฯ จากการโอนโครงการเดอะ ไลน์ 3
ขณะที่รายได้จากการเดินรถไฟฟ้า ยังไม่โดดเด่นเท่าเพราะยังมีภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเงินกู้ในช่วงลงทุนรถไฟฟ้า สายสีเขียวส่วนต่อขยาย สายสีชมพู และสีเหลือง จึงมองราคาเหมาะสมที่ 10.08 บาท
ที่มา : bangkokbiznews
ภาพประกอบ : thairath