“ภูเก็ต” นับเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีความน่าสนใจทั้งในด้านการลงทุนและเพื่อพักผ่อน ทำให้เกิดการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ มากมาย และด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังภูเก็ตที่มากถึง 8.4 ล้านคน เฉพาะในปี 2560 จึงนับได้ว่าภูเก็ตเป็นเกาะที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวสูงที่สุดในไทย และจำนวนนักท่องเที่ยวก็ทำลายสถิติสูงสุดเป็นเวลา 4 ปีติดต่อกัน เมื่อย้อนกลับไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เกาะแห่งนี้ได้เกิดการพัฒนาที่สำคัญหลายประการก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นอย่างทุกวันนี้
อดีตภูเก็ตเป็นเกาะที่ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็ก โดยมีรีสอร์ตขนาดเล็กเพียงไม่กี่แห่ง จากนั้นปริมาณนักท่องเที่ยวค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากสะพานสารสินแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2510 ถัดมาในช่วงทศวรรษปี 2520 เกาะภูเก็ตเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยมีการพัฒนาโครงการที่สำคัญ เช่น อมันปุรี โรงแรมและวิลล่าหรูแห่งแรก ซึ่งเปิดให้บริการในปี 2530
ขณะที่ท่าอากาศยานภูเก็ตเริ่มเปิดให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศในปี 2527 ทำให้เกาะแห่งนี้ยิ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยว โดยในปี 2531 การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) ได้เข้าบริหารท่าอากาศยานภูเก็ตและได้พัฒนาจนทำให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 966,294 คน การเป็นท่าอากาศยานนานาชาติทำให้ท่าอากาศยานภูเก็ตสามารถรองรับการขยายตัวและจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้
ทั้งนี้ หลังจาก 10 ปีแห่งความเจริญรุ่งเรือง ภูเก็ตประสบกับมรสุมจากวิกฤตการณ์ทางการเงินเอเชียในปี 2540 รวมถึงภัยพิบัติสึนามิในปี 2544 อย่างไรก็ตาม เกาะแห่งนี้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในฐานะแหล่งท่องเที่ยวและทำเลสำหรับซื้อบ้านหลังที่ 2 ซึ่งอ้างอิงจากการจัด 5 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมโดยนิตยสารฟอร์บส์ เมื่อปี 2548 และถึงแม้ว่าภูเก็ตจะได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินโลกปี 2551 แต่จำนวนนักท่องเที่ยวกลับเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า
ปริมาณนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาได้นำไปสู่แผนการขยายสนามบินภูเก็ตในปี 2557 ซึ่งเฟสแรกได้แล้วเสร็จในปี 2559 จำนวนผู้โดยสารขาเข้าจากเที่ยวบินระหว่างประเทศในปี 2560 มีจำนวนถึง 8.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 800% จากปี 2550 ซึ่งการท่องเที่ยวในภูเก็ตได้เปลี่ยนตลาดนักท่องเที่ยวเอเชียและยุโรปที่มีฐานะมาเป็นตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีถึง 37% ในปี 2560 ซึ่งเป็นสิ่งที่ในปี 2531 เราต่างก็คิดไม่ถึง
ปัจจุบันภูเก็ตมีห้องพักในโรงแรมทั้งหมดถึง 23,000 ห้อง ไม่รวมเกสต์เฮาส์ คอนโดมิเนียมตากอากาศ 8,000 ยูนิต และวิลล่าตากอากาศ 4,000 หลัง ตลาดที่พักตากอากาศได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทุกวันนี้ผู้ซื้อที่พักตากอากาศไม่เพียงแต่ต้องการสถานที่สำหรับพักผ่อนในวันหยุดเท่านั้น แต่ยังต้องการสร้างรายได้จากบ้านพักตากอากาศด้วย ซึ่งหมายความว่าผู้พัฒนาโครงการจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสินค้าของตนเองให้ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อ รวมทั้งปฏิบัติตามข้อกำหนดในการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมเพื่อให้สามารถปล่อยเช่ารายวันได้
ทั้งนี้ นางสาวประกายเพชร มีชูสาร ผู้อำนวยการ แผนกซื้อขายบ้านพักตากอากาศ ซีบีอาร์อี ภูเก็ต กล่าวถึงวิวัฒนาการของตลาดอสังหาฯ ในภูเก็ตว่า แต่เดิมผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่ทำงานในเอเชียที่ต้องการบ้านพักหลังที่ 2 จากนั้นตลาดก็ขยายไปสู่ผู้ซื้อชาวรัสเซีย และปัจจุบันก็เป็นชาวจีนและชาวเอเชียอื่นๆ รวมถึงชาวไทย ผู้ซื้อชาวไทยยังต้องการได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่เติบโตด้วยการซื้อที่พักอาศัยจากโครงการที่มีการสร้างรายได้จากค่าเช่า
และในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ภูเก็ตมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด จากเกาะที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาและมีธุรกิจหลักคือ การทำเหมืองแร่ดีบุกและสวนยาง มาสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆ ในอนาคตยังมีโอกาสการเติบโตจากนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น โดยเป็นคนที่อาศัยอยู่ในระยะการเดินทางด้วยเครื่องบินไม่เกิน 4 ชั่วโมง ซึ่งเริ่มจะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงวันหยุด และตอนนี้ได้เกิดขึ้นในเอเชีย ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของสายการบินต้นทุนต่ำ ที่ทำให้เกือบ “ทุกคนสามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้”
สำหรับผู้พัฒนาโรงแรมและที่พักตากอากาศต่างได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ แต่ก็ยังมีความท้าทายในยุคแห่งการท่องเที่ยวแบบกลุ่มขนาดใหญ่ ตั้งแต่เรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีมากเกินไป ไปจนถึงความพยายามในการสร้างความสมดุลระหว่างความต้องการให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเติบโต กับการรักษาความน่าสนใจของ ”ภูเก็ต” ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวต่อไป.
ที่มา : ไทยโพสต์