สิงห์ เอสเตท เตรียมงบลงทุน 17,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการมิกซ์ยูส 4-5 โครงการ ภายใน 5 ปี ปักธงทำเลนอกเมืองเกาะแนวรถไฟฟ้า หนีโครงการมิกซ์ยูสในเมืองแข่งเดือด
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชกรรม ในระยะ 5 ปี (2562-2566) บริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 17,000 ล้านบาท โดยจะพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูสได้ 4-5 โครงการ รวม 200,000 ตารางเมตร(ตร.ม.) หรือเฉลี่ยปีละ 1 โครงการ โครงการล่าสุด บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานและค้าปลีก ภายใต้ชื่อรหัว “โอเอซิส” บนถนนวิภาวดี-รังสิต บริเวณซอยเฉยพ่วง ใกล้กับอาคารซันทาวเวอร์ มูลค่าโครงการ 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นอาคารสูงประมาณ 40 ชั้น โดยมีพื้นที่เช่า 53,000 ตร.ม. คาดว่าจะใช้เวลาในการพัฒนาประมาณ 3 ปี (2562-2564)
“ธุรกิจคอมเมอร์เชียล มีความสำคัญในการสร้างการเติบโตในระยะยาวให้กับ สิงห์ เอสเตท เนื่องจากจะสามารถสร้างรายได้ประจำที่มั่นคง โดยบริษัทจะขยายธุรกิจผ่านการพัฒนาโครงการใหม่และการเข้าลงทุน เมื่อสินทรัพย์มีอัตราการเติบโตถึงระดับที่เหมาะสม ก็จะนำเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า เพื่อระดมเงินทุนสำหรับรองรับโอกาสทางธุรกิจในอนาคต ปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่เช่าจากอาคารซันทาวน์เวอร์ส และ อาคารสิงห์คอมเพล็กซ์ อยู่ที่ 130,000 ตร.ม. ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าภายใน 5 ปี จะมีพื้นที่รวมทั้งหมดอยู่ที่ 330,000 ตร.ม.”นายนริศ กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชยกรรมอยู่หลายโครงการ ได้แก่ อาคารซันทาวเวอร์ส ทำเลวิภาวดี-รังสิน พื้นที่ใช้สอยรวม 118,828 ตร.ม. ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท เพื่อสิทธิการเช่า 30 ปี โครงการ Lighthouse เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ ทำเลเจริญนคร มีพื้นที่ 3,500 ตร.ม. และโครงการที่เพิ่งเปิดตัวไปล่าสุดคือ สิงห์ คอมเพล็กซ์ เป็นอาคารเกรดเอและพื้นที่ให้เช่า คอนโดมิเนียม ทำเลแยกอโศก-เพชรบุรี มีพื้นที่ใช้สอยรวม 120,000 ตร.ม. ราคาเช่าเกือบ 1,000 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน ปัจจุบันมีผู้เช่าแล้ว 82%
สำหรับภาพรวมตลาดธุรกิจมิกส์ยูสในกทม.มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยมีปัจจัยที่สนับสนุนให้มีอัตราการขยายตัวมาจาก การขยายก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนของภาครัฐ ส่งผลให้ในหลายพื้นที่ของ กทม.มีการพัฒนาและยกระดับให้เป็นย่านธุรกิจ และที่พักอาศัยใหม่ๆ ซึ่งทำให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยมีความสำคัญที่จะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ในปัจจุบันการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์จะมุ่งเน้นเรื่องของการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภคอีกด้วย
“ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โครงการมิกซ์ยูสในพื้นที่กลางเมือง ได้แก่ บริเวณถนนพระราม 4 และ เพลินจิต จะมีการแข่งขันที่สูง เนื่องจากจะมีโครงการขนาดใหญ่ เกรดเอ ก่อสร้างเสร็จหลายโครงการ ซึ่งแต่ละโครงการต่างต้องพยายามหาจุดขายของตัวเอง ส่วนบริษัทคงจะไม่เข้าไปแข็งขันในตลาดเกรดเอในเมือง แต่จะขยับออกนอกเขตเมืองชั้นใน (ซีบีดี) ที่มีศักยภาพอยู่ในทำเลที่มีโครงข่ายคมนาคมถึง และเป็นตลาดในเกรดบีที่ยังมีความต้องการอยู่สูง” นายนริศกล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังการพัฒนาโครงการต่างประเทศเพื่อสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับบริษัท ได้แก่ โครงการครอสโร้ดส์ มัลดีฟ พัฒนาบนเกาะที่ถูกสร้างใหม่ขึ้น จำนวน 9 เกาะ โดยในเฟสแรกบริษัทจะพัฒนาโรงแรม Hard Rock Hotel Maldives จำนวน 178 ห้อง โรงแรม Curio by Hilton จำนวน 198 ห้อง และ โครงการ เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ มีพื้นที่การค้ากว่า 11,000 ตร.ม. และยังได้พัฒนาท่าเทียบเรือยอชท์อีกจำนวน 30 ท่าอีกด้วย
“บริษัทจะก้าวสู่การเป็นโกลบอล พรีเมียม ไลฟ์สไตล์ ดีเวลลอปเปอร์ โดยในอนาคตบริษัทจะใช้ประสบการณ์จากการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อขยายการลงทุนในภูมิภาคอื่นๆ ทั้งโรงแรม อาคารสำนักงาน และที่อยู่อาศัย ซึ่งจะต้องเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน” นายนริศกล่าว
ไม่พลาดทุกข่าวสาร ทันทุกเรื่องราวอสังหาริมทรัพย์กับ Baania ได้ที่ Line Official >> @baania