นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2561 เป็นปีแห่งความท้าทาย นอกจากจะมี 9 โครงการที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ภายใต้เงินลงทุน 2 หมื่นล้านบาท ตามนโยบายที่จะขับเคลื่อนธุรกิจสิงห์ เอสเตท สู่การเป็นบริษัทเพื่อการลงทุน หรือพรีเมียร์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ อินเวสต์เม้นท์ โฮลดิ้ง คัมปานี และปีนี้ยังเป็นปีที่บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนในโครงการต่างๆ ด้วย ซึ่งอาจจะทำให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายรายได้ที่ 2 หมื่นล้านบาท เร็วขึ้นจากเดิมตั้งเป้าภายในปี 2563 โดยเร็วขึ้นมา 1 ปี เป็นภายในปี 2562 อีกทั้งจะเป็นปีที่บริษัทจะมีการเติบโตของรายได้อย่าก้าวกระโดดด้วย
เนื่องจากล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ก.พ. บริษัทเจรจาซื้อกิจการเอาท์ริกเกอร์ โฮเทลส์ ฮาวาย มูลค่าประมาณ 11,073 ล้านบาท ประกอบด้วย 6 โรงแรมและรีสอร์ทใน 4 ประเทศ โดยบริษีทมีแผนเปิดตัวแบรนด์โรงแรมใหม่ของตัวเองทั้งหมด ซึ่งเป็นระดับ 4 ดาว จากเดิมอยู่ภายใต้ชื่อเอาท์ริกเกอร์ ฟิจิ บีช รีสอร์ท, แคสต์อเวย์ ไอส์แลนด์ ประเทศฟิจิ, เอาท์ริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก็ต บีช รีสอร์ท, เอาท์ริกเกอร์ เกาะสมุย บีช รีสอร์ท, เอาท์ริกเกอร์ มอริเชียส บีช รีสอร์ท ประเทศมอริเชียส และโรงแรมเอาท์ริกเกอร์ โคน็อตตา มัลดีฟส์ รีสอร์ท สาธารณรัฐมัลดีฟส์ เนื่องจากบริษัทมองเห็นศักยภาพการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งในปี 2560 พบว่ามีนักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 7% หรืออยู่ 1,322 ล้านคน สูงสุดในรอบ 7 ปี นับตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งสิงห์เอสเตท ต้องการเติบโตไปตามอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลก ทำให้แผนการลงทุนของบริษัทในปีนี้จะเน้นไปด้านท่องเที่ยวเป็นสำคัญ
สำหรับในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริษัทเข้าถือหุ้นไปก่อนหน้านี้ได้เปิดตัวโครงการดีไฟน์ ศรีนครินทร-พระราม 9 ยอดขายไปได้ค่อนข้างดี ส่วนในเดือนเม.ย.-พ.ค. โรงแรมสันติบุรี สมุย เตรียมจะเปิดให้บริการในส่วนของวิลล่าเฟสใหม่ อีก 19 ห้อง รวมเป็น 96 ห้อง เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นจากเดิมเป็นตลาดยุโรปเป็นหลัก และในเดือนมิ.ย. เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียม โลว์ไรส์ สุขุมวิท 43 โครงการแรกมูลค่า 4 พันล้านบาท
เดือนก.ค. เปิดขายโครงการสันติบุรี เดอะเรสซิเดนเซส ถนนประดิษฐมนูธรรม บ้านเดี่ยวราคาหลังละ 300 ล้านบาท รวม 26 ยูนิต บนที่ดิน 45 ไร่ ปัจจุบันบ้านตัวอย่างก่อสร้างแล้วเสร็จอยู่ระหว่างตกแต่ง
ส่วนในเดือนส.ค. เตรียมเปิดใช้อาคารสิงห์คอมเพล็กซ์ แอทอโศก เดือนต.ค. เตรียมเปิดให้บริการโครงการครอสโร้ดส์ (CROSSROADS) ที่มัลดีฟส์ ซึ่งจะเป็นโครงการที่เปิดมิติใหม่ในการท่องเที่ยวของประเทศมัลดีฟส์ และมีทาวน์ชิพ แห่งแรกของมัลดีฟส์ เพื่อเป็นแหล่งช็อปปิ้งและร้านอาหารของผู้เดินทางไปท่องเที่ยวเกาะมัลดีฟส์รวมถึงคนท้องถิ่นด้วย โดยเฟสแรกยังประกอบด้วย 2 โรงแรมและรีสอร์ต รวมถึง ท่าเทียบเรือยอร์ชแห่งแรกของมัลดีฟส์, บีช คลับ ระดับลักชัวรี, ร้านค้าไลฟ์สไตล์ และร้านค้าปลอดภาษี เป็นต้น ในเดือนต.ค. บริษัทยังเตรียมโอนโครงการดิเอส แอทอโศก คอนโดมิเนียมแห่งแรกของสิงห์ เอสเตท รวมถึงในเดือนธ.ค. จะมีการโอรโครงการบันยันทรี เรสซิเดนเซส ซึ่งเป็นคอนโดฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ภายใต้บริษัทเนอวานา ด้วยเช่นกัน
โดยในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้เฉพาะธุรกิจอสังหาฯเพื่อขายไม่ต่ำกว่า 6 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 70% ของรายได้รวมและอีก 30% จะเป็นรายได้ระยะยาวจากค่าเช่า และบริการโรงแรม อย่างไรก็ดีในปลายปีนี้มีความเป็นไปได้ที่บริษัทจะเปิดขายคอนโดมิเนียมอีก 1 โครงการด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินมูลค่า 3 พันล้านบาท
“ปี 2561 เป็นปีที่สิงห์เอสเตทแตะใกล้เส้นชัย และเป้าหมายรายได้ที่ 2 หมื่นล้านบาทภายในปี 2020 หรือ 2563 อาจมาเร็วกว่าที่คาด รวมถึงในปีหน้าบริษัทเตรียมนำธุรกิจโรงแรมของบริษัท เอส โฮเตล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยมูลค่าสินทรัพย์มากกว่า 2 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยโรงแรม 39 แห่ง ใน 5 ประเทศ รวมกว่า 4,249 ห้อง จากมูลสินทรัพย์รวม 6 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทยังเดินหน้าซื้อกิจการโรมในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี”นายนริศ กล่าว
ที่มา : ข่าวสด