ปัญหาด้านการเงิน ถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินที่จะทำให้สุขภาพทางการเงินของเราอ่อนแอลงจนธนาคารไม่สามารถปล่อยสินเชื่อให้ได้ เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่หลวงทั้งกับเศรษฐกิจโดยรวม และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดังเช่นที่ผ่านมา เศรษฐกิจกิจไทยขยับตัวได้ช้า เพราะปัญหาหนี้สินที่แต่ละคนไปก่อไว้นั้นเอง เพราะเมื่อหนี้เยอะ การจะไปทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น การกู้ซื้อที่อยู่อาศัย การลงทุน การจับจ่าย ก็เป็นไปได้ยากนั่นเอง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ ไม่ปล่อยกู้ให้กับผู้ซื้อบ้านสูงถึง 30-50% เลยทีเดียว เมื่อเป็นปัญหาระดับชาติ รัฐบาลจึงต้องลงมาช่วยแก้ไขบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้มากกว่าที่เป็น โดยผ่านกลไกของรัฐ โดยที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้งคลินิกแก้หนี้ขึ้นมาโดยบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (บสส.) ซึ่งเป็นหน่วยของธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกับ สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ และได้ปรับปรุงเงื่อนไขของลูกหนี้ที่จะเข้ามาใช้บริการมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ “คลินิกแก้หนี้” เกิดขึ้นเพื่อต้องการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยเหลือประชาชนในการแก้ไขปัญหาหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลในระบบกับธนาคารพาณิชย์ไทยและสาขาธนาคารต่างประเทศโดยเฉพาะหนี้ที่มีเจ้าหนี้หลายรายมียอดหนี้รวมกันไม่เกิน 2 ล้านบาท ให้สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินได้อย่างเบ็ดเสร็จและมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการเสริมสร้างวินัยทางการเงินที่ดี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ล่าสุด นิยต มาศะวิสุทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM กล่าวว่า ได้มีการปรับหลักเกณฑ์ขยายขอบเขตเพิ่มเติมให้ครอบคลุมถึงลูกหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันที่ค้างชำระเกินกว่า 3 เดือนกับธนาคาร ตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไป ที่เป็นหนี้เสียก่อนวันที่ 1 เมษายน 2561 รวมทั้งกลุ่มที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี และกลุ่มที่ถูกดำเนินคดีแล้วแต่ยังไม่มีคำพิพากษา
นอกจากนี้ได้มีการจัดงาน “พบกันวันหยุดกับคลินิกแก้หนี้” เพื่อเปิดโอกาสและอำนวยความสะดวกแก่ลูกหนี้ที่ไม่มีเวลาในวันทำการ ให้สามารถเข้ามาตรวจสอบ หรือติดต่อขอคำปรึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ทุกวันเสาร์ตลอดเดือนพฤษภาคมนี้ เริ่มวันเสาร์ที่ 5, 12, 19 และ 26 พฤษภาคม 2561 ระหว่างเวลา 9.00-16.00 น. ณ ที่ทำการโครงการคลินิกแก้หนี้ ชั้น 12 อาคารเล้าเป้งง้วน ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ
นับเป็นกิจกรรมแรกหลังจากมีการปรับหลักเกณฑ์ขยายขอบเขตเพิ่มเติม โดยที่ SAM หวังว่าการจัดกิจกรรมนี้ จะช่วยสร้างโอกาสและกระตุ้นกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาขอคำปรึกษาและเข้าร่วมโครงการมากขึ้น ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนด้านหนี้สินส่วนบุคคล ของผู้ที่ประสบปัญหาดังกล่าวได้ไม่มากก็น้อย และช่วยให้ลูกหนี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยผู้ที่สนใจสามารถสมัครผ่านเว็บไซต์ได้ที่ www.debtclinicbysam.com หรือ www.คลินิกแก้หนี้.com โดยทีมงานจะติดต่อกลับภายใน 3 วันทำการ หรือ ติดต่อสอบถามได้ที่ Call Center 02-610-2266 ในวันเวลาทำการ จันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-17.00 น.
นอกจากคลินิกแก้หนี้แล้ว ยังมีหน่วยงานที่เข้ามาช่วยดูแล และให้คำปรึกษาทางการเงินของคนที่จะกู้ซื้อบ้าน แต่ยังติดขัดปัญหาจนไม่สามารถขอสินเชื่อได้ตามที่ต้องการ ได้แก่ ธอส. โรงเรียนการเงิน ในความดูแลของธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ สร้างวินัยการเงิน และเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ที่เข้าร่วมโครงการ
ทั้งนี้ธนาคารได้แบ่งลูกค้าออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่รายได้ไม่พอกับราคาบ้านที่ต้องการหรืออาจไม่ทราบหลักเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชื่อ สัดส่วนความสามารถชำระหนี้ต่อรายได้ เจ้าหน้าที่จะให้คำแนะนำแนวทางปฏิบัติเพื่อให้ได้วงเงินสินเชื่อเพียงพอต่อการซื้อที่อยู่อาศัย
กลุ่มที่ 2 กลุ่มอาชีพอิสระ (ค้าขายหรือรับจ้างทั่วไป) เป็นกลุ่มลูกค้าที่ประกอบอาชีพประจำหรืออาชีพอิสระ (พ่อค้า แม่ค้า หรือรับจ้างทั่วไป) ที่ไม่สามารถแสดงหลักฐานแหล่งที่มาของรายได้ โดยจะให้จัดทำสมุดบัญชีรับ - จ่ายรายวัน ตามแบบฟอร์มธนาคารไม่น้อยกว่า 9 เดือน พร้อมกับเปิดบัญชีเงินฝากและฝากเงินอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำมาแสดงเป็นหลักฐานแสดงการมีอยู่ของรายได้ พร้อมเก็บหลักฐานเพื่อแสดงที่มาของรายได้ อาทิ ใบเสร็จรับเงิน สัญญาเช่าแผงค้าขาย เป็นต้น
กลุ่มที่ 3 เคยมีประวัติค้างชำระหนี้กับสถาบันการเงิน แต่ปัจจุบันได้ปิดบัญชียอดค้างชำระแล้ว วิธีปฏิบัติเปิดบัญชีเงินฝาก และต้องฝากเงินอย่างสม่ำเสมอไม่น้อยกว่าเงินงวดตามวงเงินที่ลูกค้าจะสามารถกู้ได้เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 9 เดือน และเมื่อครบกำหนดต้องมีเงินฝากคงเหลือไม่น้อยกว่า 9 เท่าของเงินงวด
กลุ่มที่ 4 นักศึกษาจบใหม่ หากประกอบอาชีพและมีที่มาของรายได้อย่างต่อเนื่อง ธนาคารจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการเตรียมเอกสารประกอบการยื่นสินเชื่อ
สำหรับลูกค้าเมื่อปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด จะมีโอกาสยื่นคำขอพิจารณาสินเชื่อกับธนาคาร ซึ่งธนาคารจะพิจารณาผ่อนปรนสัดส่วนความสามารถชำระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio หรือ DSR) เพิ่มเป็นสูงสุดไม่เกิน 50% ของรายได้สุทธิ วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 3 ล้านบาท ผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี
หากเราสามารถเคลียร์หนี้ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการขอสินเชื่อได้แล้ว โอกาสที่ธนาคารจะอนุมัติสินเชื่อหรือได้วงเงินตามที่ต้องการก็มีสูงขึ้นไปด้วย ที่สำคัญ ก่อนที่จะซื้อบ้านควรตรวจสอบให้ดีก่อนว่า รายได้ต่อเดือน หักค่าใช้จ่าย และค่าผ่อนสินค้า ค่าบัตรเครดิตอะไรต่างๆ แล้ว จะสามารถขอสินเชื่อซื้อบ้านในวงเงินเท่าไหร่ โดยขอคำปรึกษากับธนาคารก่อนที่คิดจะซื้อบ้าน นอกจากนี้ ควรตรวจสอบประวัติหนี้ของเรา ที่เครดิตบูโร เพื่อให้มั่นใจว่า กู้แล้วจะผ่านฉลุย
Baania มี Line แล้วนะ
ติดตามเรื่องราวอสังหาริมทรัพย์แบบอินเทรนด์ ได้ทุกวันผ่าน Line ID @baania