ออฟฟิศแนวใหม่ ในรูปแบบ Co-working space เติบโตขึ้นอย่างชัดเจนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่นิยมทำงานอิสระ เป็นฟรีแลนซ์ เป็นสตาร์อัพ ด้านไอที เทคโนโลยี ต้องการพื้นที่ในการแชร์ความรู้ รวมถึงพื้นที่ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Business Ecosystem ของตัวเองได้ ซึ่ง Co-working space สามารถตอบโจทย์ในเรื่องพวกนี้ได้เป็นอย่างดี ทำให้ความต้องการใช้ Co-working space มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจ ที่ผู้ประกอบการทั้งในประเทศ และต่างประเทศต่างให้ความสนใจ
สำหรับความต้องการใช้พื้นที่ออฟฟิศใหม่ เกิดขึ้นจากการเติบโตขอบงธุรกิจอี คอมเมิร์ช บริษัทเทคโนโลยี่ และออนไลน์ ธนาคารที่ย้ายจากการเปิดสาขาในแบบ stand alone มาสู่การเปิดสาขาในสำนักงานต่างๆ และ บริษัทที่จัดหาพื้นที่เพื่อทำ Co-working space ซึ่งซีบีอาร์อี ประเทศไทย ระบุว่า ในปี 2561 ผู้ให้บริการพื้นที่ Co-working space จากต่างชาติ 4 ราย ได้แก่ The Great Room, JustCo, Spaces และ US operator จะเปิดให้บริการครั้งแรกในอาคารสำนักงานในย่านใจกลางซีบีดีของกรุงเทพฯ โดยมีพื้นที่รวมทั้งหมดราว 1.8 หมื่นตารางเมตร และซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่าจะมีการขยายสาขาออกไปอีกในปี 2561
รายแรกที่มีความเคลื่อนไหวคือ จัสท์โค (JustCo)ผู้ให้บริการ Co-working space ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมกับ แสนสิริ เปิดตัว JustCo สาขาใหม่ 4 แห่งในกรุงเทพฯ ในปี 2561 โดยจะเปิด 2 สาขาแรกที่อาคาร AIA Sathorn ในเดือนพฤษภาคม และอาคาร All Seasons Place ในเดือนสิงหาคม โดยเล็งมอบสิทธิพิเศษให้ลูกบ้านแสนสิริเข้าใช้บริการ
“JustCo สร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์มาอย่างต่อเนื่องในเมืองต่าง ๆ ความร่วมมือกับแสนสิริจะช่วยเปิดประตูให้เราขยายธุรกิจสู่กรุงเทพฯ นับเป็นเงินทุนที่มาในช่วงเวลาอันเหมาะสม เพราะเรากำลังพร้อมขยายธุรกิจสู่เมืองหลักอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น จาการ์ต้า กัวลาลัมเปอร์ โฮจิมินซิตี้ และมะนิลา ด้วยรากฐานอันแข็งแกร่งและการสนับสนุนจากแสนสิริ เราคาดว่าจะสามารถขยายโคเวิร์คกิ้งสเปซได้ครบ 30 แห่งทั่วเอเชียแปซิฟิกภายในปี 2561 ซึ่งแสนสิริเองก็สามารถเข้าถึงฐานสมาชิกของเราซึ่งเป็นผู้บริโภคที่มีศักยภาพสูงกว่า 12,000 คนเช่นกัน” ผู้บริหารจัสท์โค กล่าว
ขณะที่ สเปซเซส (Spaces) ผู้บุกเบิกออฟฟิศพร้อมใช้งานแบบครบวงจรสุดสร้างสรรรค์จากอัมสเตอร์ดัม ประเดิมสาขาแรกในไทยที่โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ ใกล้สถานีไฟฟ้าพระโขนง บนพื้นที่กว่า 1,260 ตารางเมตร ประกอบด้วย 334 ที่นั่ง และ 3 ห้องประชุมขนาดใหญ่ เพื่อสร้างคอมมิวนิตี้สำหรับผู้ประกอบการด้วยโซลูชั่นในสถานที่ทำงานที่ให้ความยืดหยุ่นอันหลากหลาย นอกจากนี้ Spaces ยังมีแผนขยายสาขา 2 ที่ จัตุรัสจามจุรี ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการอย่างเป็นทางในเดือนพฤษภาคม 2561 นี้
โนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ สเปซเซส ประจำประเทศไทย ไต้หวัน และเกาหลี กล่าวว่า ความต้องการพื้นที่การทำงานมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ด้วยปัจจัยที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้นผ่านระบบมือถือแม้ว่าจะอยู่ต่างสถานที่ ในระยะทางที่ไกล นอกจากนี้ยังมีปัจจัยการเปลี่ยนแปลงอันมาจากธรรมชาติของโลกธุรกิจ ซึ่งจะเห็นว่าเหล่าสตาร์ทอัพต่างมองหาสถานที่ทำงานที่มีความยืดหยุ่นที่ช่วยให้พวกเขาสามารถปรับลดหรือขยายองค์กรได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องเซ็นสัญญาเป็นระยะเวลาหลายปี
ขณะที่บริษัทข้ามชาติก็ยังคงมองหาสถานที่ทำงานที่มีความยืดหยุ่นที่จะช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังคงให้บริการต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงอีกปัจจัยสำคัญคือกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียลต่างเริ่มคาดหวังให้เหล่านายจ้างมอบพื้นที่การทำงานที่มีทั้งพื้นที่แห่งการพบปะสรรสรรค์และสร้างแรงบัลดาลใจในการคิดค้นสุดยอดไอเดียให้มากยิ่งขึ้น
ขณะที่ Co-working Space สัญชาติไทย อย่างโกลว์ฟิช (Glowfish) ก็ได้เปิดตัว Co-working Space แห่งใหม่ด้วยเช่นกัน โดย กวิน ว่องกุศลกิจ กรรมการผู้จัดการ และผู้ก่อตั้ง โกลว์ฟิช กล่าวว่า โกลว์ฟิช ได้เปิด ออฟฟิศ ไลฟ์สไตล์ เวิร์กสเปซ พื้นที่ 4,000 ตารางเมตร ในอาคารสาธรธานี 2 ด้วยงบลงทุน 600 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด Work.Play.Grow ไม่ยึดติดกรอบการทำงานในรูปแบบเดิมๆ ของออฟฟิศ ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตในการทำงาน
กลุ่มเป้าหมายหลังจะเป็นเจ้าของกิจการรุ่นใหม่ ไม่เฉพาะเจาะจงแต่กลุ่มสตาร์ตอัพ มีผู้เช่าพื้นที่เต็มทั้ง 26 ยูนิตแล้ว ซึ่งเป็นการให้เช่าระยะยาว 3-6 เดือน และ 1 ปี ค่าเช่าเริ่มต้นที่ 37,000 บาท/เดือน มีความหลากหลายทั้งสไตล์และขนาด มีตั้งแต่ห้องขนาดเล็ก 14 ตารางเมตร สำหรับ 3-4 คน ไปจนถึงห้องขนาด 30 ตารางเมตรสำหรับคนไม่เกิน 12 คน ลูกค้าจะเป็นบริษัทที่พนักงานไม่มาก และเน้นใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี มีทั้งบริษัทไทยและต่างชาติครึ่งต่อครึ่ง มีอัตราการเช่าอยู่ที่ 70-80%
ในส่วนของ event hall มีขนาด 400 ตารางเมตร จุคนได้ 400 คน ภายใต้คอนเซ็ปต์ Plug and Play คือ มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่างในการจัดงาน ไม่ว่าจะเป็นแสง สี เสียง โปรเจคเตอร์ ลูกค้าเข้ามาเสียบไดรฟ์ก็จัดงานได้เลย ไม่ต้องเสียเวลา set up ค่าใช้จ่ายก็น้อยลง ทั้ง โกลว์ฟิช เปิดให้บริการมา 9 ปี ปัจจุบันให้บริการ 2 แห่ง พื้นที่ แห่งแรกที่ อโศก
กวิน กล่าวอีกว่า สำหรับการแข่งขันของ Co-working Space ไทยกับต่างชาติ คิดว่า บริษัทไทยได้เปรียบ เพราะเราเข้าใจวัฒนธรรมจริงๆแล้วคนไทยข้อจำกัดเยอะมาก ซึ่งต่างชาติไม่เข้าใจ และไม่ได้พยายามศึกษา โดยจะคำนึงถึงรายได้ก่อน Key success ของบริษัทต่างชาติคือ หาผู้จัดการคนไทยให้หาลูกค้า ถ้าได้คนเก่งก็จะได้ลูกค้าเยอะ
ในขณะที่ Glowfish เราไม่ได้คิดถึงรายได้เป็นหลัก แต่อยากโตไปด้วยกัน โดยเชื่อว่าลูกค้ามองหาคนที่จะสามารถช่วยสนับสนุนให้โตได้มากกว่า ขณะที่บริษัทเองก็ยังไม่คิดจะขยายไปต่างประเทศเหมือนกัน เพราะเราก็ไม่ได้เข้าใจตลาดแบบที่เราเข้าใจคนไทย ถ้าจะไปก็ต้องศึกษา และเราก็มองว่าตลาดในไทยมันก็ใหญ่อยู่แล้ว
คาดว่า การแข่งขันในตลาด Co-working Space จะทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ ไม่ว่าจะเป็นการรุกคืบของผู้ประกอบการจากต่างประเทศ และผู้ประกอบการไทย ศึกครั้งนี้เพิ่งแค่เริ่มต้นเท่านั้น!