กูรูค้าชายแดนชี้”ทรัมป์” เลิกทีพีพี เปิดทางสินค้าไทยบุกลาว-เมียนมา ทะลุไปถึง 3 มณฑลใหญ่ของจีนตอนใต้ รองรับกำลังซื้อมหาศาล เผยประเทศเพื่อนบ้านชื่นชอบของใช้จากไทย แสดงถึงการมีรสนิยม
จากการสำรวจของ”ฐานเศรษฐกิจ”พบว่า กรณี นายโดนัลด์ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ใช้อำนาจพิเศษยุติการเข้าร่วมใน “ข้อตกลงความร่วมมือยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก” หรือทีพีพี ทำให้หลายชาติต่างๆ ในเอเชีย-แปซิฟิกได้รับผลกระทบ แต่ประเทศจีนน่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุด โดย นายสี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีนให้ความสำคัญกับการขยายโครงข่ายเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจครอบคลุมภูมิภาคเอเชีย โดยได้เร่งการก่อสร้างปรับปรุง เส้นทางสัญจรทางบก รถไฟ และปรับปรุงท่าเรือในแม่น้ำโขง ทำให้เชื่อว่าหลายประเทศในเอเชียที่ไม่ได้ร่วมทีพีพี เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ และประเทศอื่นๆ ก็จะให้ความร่วมมือกับจีนมากขึ้นด้วย
การค้าชายแดนระหว่างไทย-จีน ซึ่งมีฐานที่มั่นสำคัญอยู่ที่จังหวัดเชียงราย มีโครงข่ายเส้นทางการค้าที่เชื่อมโยงกันได้ทั้งทางบกตามถนน R3A และทางน้ำผ่านกองเรือพาณิชย์นาวีแม่น้ำโขง การส่งออกสินค้าจากไทยไปจีนโดยตรง และการส่งออกสินค้าไทยไปจีนโดยผ่าน สปป.ลาว และ เมียนมา ในแต่ละปีมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท และมีโอกาสเติบโตขึ้นอีกอย่างมาก เพราะเดิมทีสินค้าไทยเข้าไปได้ถึงมณฑลยูนนานมณฑลเดียว แต่จากนโยบาย One Belt One Road ซึ่งมีการปรับปรุงให้ท่าเรือกวนเหล่ยรองรับการขนส่งสินค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ห้องเย็นได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย สินค้าไทยจะสามารถไปได้เพิ่มอีก 2มณฑลคือมณฑลเสฉวน และมณฑลกุ้ยโจว ซึ่งว่ากันว่ามีประชากรและกำลังซื้อมากมายมหาศาล
นางสาวผกายมาศ เวียร์รา ผู้ประกอบการค้าชายแดนและท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงตอนบน (ไทย-ลาว-เมียนมา-จีน) เปิดเผยกับ”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การยกเลิกทีพีพี ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เชื่อว่าสินค้าไทยหลายชนิดได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน แต่หากจะแปรวิกฤติเป็นโอกาสผู้ประกอบการค้าชายแดนเชียงราย อยากให้รัฐบาลบุกตลาดประเทศเพื่อนบ้านให้มากขึ้น โดยเฉพาะ สปป.ลาว และเมียนมา ซึ่งเป็นทางผ่านของสินค้าไทยที่จะเข้าไปยัง 3 มณฑลของประเทศจีน (ยูนาน-เสฉวน-กุ้ยโจว)
“เมียนมาให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐฉาน และเปิดกว้างทางการค้า การลงทุน มากขึ้น เร็วๆนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐฉาน จะเดินทางมาที่จังหวัดเชียงราย เพื่อเชิญชวนนักลงทุนไทยไปลงทุนในธุรกิจด้านการเกษตร และอุตสาหกรรมการเกษตร และการลงทุนด้านการท่องเที่ยว โดยเสนอสิทธิพิเศษเทียบเท่ากับการลงทุนของบุคคลสัญชาติเมียนมา ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสของนักลงทุนไทยประกอบกับสินค้าไทยเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมจากประชากรของประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพะในรัฐฉานที่ถือว่าการใช้สินค้าไทยเป็นการแสดงถึงการมีรสนิยม หากว่ามีการขยายตลาด รัฐนำเอกชนไปแนะนำสินค้าผ่านงานแสดงสินค้าในประเทศเพื่อนบ้านบ่อยๆ โอกาสที่ไทยจะส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านก็จะมากขึ้นตามไปด้วย”
เช่นเดียวกันกับ นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ (เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน แม่ฮ่องสอน ตากและอุตรดิตถ์) ที่ให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า ตลาดในประเทศเพื่อนบ้านน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของการส่งออกไทย โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งประชากรของประเทศเพื่อนบ้านนิยมใช้สินค้าไทยอยู่แล้ว ที่ผ่านมาการส่งออกสินค้าเป็นไปโดยผู้ประกอบการค้าชายแดน โดยที่ไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากภาครัฐมากนัก
“รัฐบาลควรสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการต่างประเทศกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญกับการขยายตลาดในประเทศเพื่อนบ้านให้มากขึ้น ด้วยการพาผู้ประกอบการไทยนำสินค้าไทยไปเจาะตลาด บุกตลาดให้ถี่ขึ้น ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้ประกอบการใช้คอนเนกชันส่วนตัวอย่างที่ผ่านมา”
ที่มา : thansettakij