Baania
Baania
จังหวัด
ประเภทประกาศ
ประเภทอสังหาริมทรัพย์
ราคา

เอสซีจี ชี้ตลาดที่อยู่อาศัยยังรอจังหวะฟื้นตัว

x
คลิกที่นี่ เพื่อฟังบทความ

เอสซีจี ชี้ตลาดที่อยู่อาศัยยังซบเซา รอโครงการการลงทุนภาครัฐช่วยปลุกตลาด คาดอีก 6 เดือนถึง 1 ปี เริ่มฟื้นตัว ขณะที่ยอดขายปูน-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างครึ่งปีแรกยังเติบโต 4%  

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า  ปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ในครึ่งปีแรกขยายตัวประมาณ 1% ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนในครึ่งปีหลังคาดว่าจะขยายตัวได้ 1-3% ทำให้ปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ในปีนี้จะขยายตัวได้ไม่ถึง 3% จากปีที่แล้วที่มีปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์โดยรวมอยู่ที่ 37 ล้านตัน 

“สำหรับปริมาณการใช้ส่วนใหญ่มาจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เช่น โครงการรถไฟทางคู่ ผลักดันให้ปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ในปีนี้ขยายตัว ขณะที่ภาคที่อยู่อาศัยนั้นยังคงซบเซา วัสดุก่อสร้างที่อยู่ในเซ็กเมนต์ของที่อยู่อาศัยตอนนี้ต้องยอมรับว่ายังไม่ดีนัก” นายรุ่งโรจน์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐที่ยังมีอย่างต่อเนื่องจะเป็นตัวนำ และส่งผลให้การลงทุนของภาคเอกชนตามมา ซึ่งคาดว่าในตลาดที่อยู่อาศัยจะใช้เวลาที่จะฟื้นตัวอีกประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี  

ด้านผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ปี 2561 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 120,447 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน (ไตรมาส 1 ปี 2561) เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่มีปริมาณขาย และราคาขายเพิ่มขึ้น ขณะที่กำไรสำหรับงวด 12,402 ล้านบาท ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

ทั้งนี้ เนื่องจากผลการดำเนินงานของธุรกิจเคมิคอลส์ และรายได้เงินปันผลรับจากเงินลงทุนในธุรกิจอื่นลดลง แต่ยังคงใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน เพราะแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากช่วงฤดูกาลซบเซาของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง แต่ยังมีรายได้เงินปันผลรับจากเงินลงทุนในธุรกิจอื่นช่วยสนับสนุน

ขณะที่ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2561 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 238,697 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีกำไร 24,808 ล้านบาท ลดลง 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปีที่ผ่านมามีกำไรจากการขายเงินลงทุน รวมถึงราคาวัตถุดิบปิโตรเคมีที่สูงขึ้น และค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้นในปัจจุบัน

ในส่วนของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในไตรมาสที่ 2 ปี 2561 มีรายได้จากการขาย 44,658 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 4% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากสภาพตลาดผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและเซรามิกในไทยยังคงซบเซา โดยมีกำไร 1,677 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 32% จากไตรมาส 1 ของปี 2561 

สำหรับกำไรที่ลดลงในไตรมาสที่ 2 เทียบกับไตรมาสที่ 1 นั้นเกิดไตรมาสที่ 2 มีเทศกาลวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ ซึ่งเป็นช่วงซบเซาของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ขณะที่ในครึ่งแรกของปี 2561 มีรายได้จากการขาย 91,119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายตัวของตลาดในภูมิภาค และมีกำไร 4,161 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ธุรกิจเคมิคอลส์ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2561 มีรายได้จากการขาย 57,053 ล้านบาท เพิ่มขึ้น15% จากช่วงเดียวกันของ ปีก่อน และเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 8,131 ล้านบาท ลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน เนื่องจากปัจจัยเงินบาทแข็งค่าและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ทำให้ในครึ่งปีแรกของปี 2561 มีรายได้จากการขาย 109,920 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 16,266 ล้านบาท ลดลง 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปัจจัยเงินบาทแข็งค่าและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2561 มีรายได้จากการขาย 21,792 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ แต่ลดลง 1% จากไตรมาสก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,598 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน ทำให้ในครึ่งปีแรกของปี 2561 มีรายได้จากการขาย 43,773 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,110 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายรุ่งโรจน์ กล่าวอีกว่า เอสซีจียังเดินหน้าขยายธุรกิจหลักสู่ภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ซึ่งเป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรรายแรกในเวียดนาม ซึ่งมีแผนจะลงนามสัญญาเงินกู้มูลค่าประมาณ 3,200 ล้านดอล์ลาร์สหรัฐกับสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศในเดือนสิงหาคมนี้

นอกจากนี้ ยังได้เข้าซื้อหุ้น 29% ใน PT Catur Sentosa Adiprana Tbk (CSA) ซึ่งเป็นธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่สำหรับสินค้าเกี่ยวกับบ้านและวัสดุก่อสร้างภายใต้ชื่อ “Mitra10” ให้รองรับความต้องการลูกค้าได้เพิ่มขึ้น จากปัจจุบัน 27 สาขา ซึ่งมากและครอบคลุมที่สุดในประเทศ เป็น 50 สาขาภายในปี 2564  


Mitra10

รวมถึงซื้อหุ้น 30% ใน PRO 1 GLOBAL Company Limited ซึ่งเป็นธุรกิจจัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้าน และเครือข่ายร้านค้าปลีกชั้นนำในเมียนมาภายใต้ชื่อ "Pro1-Global" เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายสาขาของร้านซึ่งปัจจุบันมี 6 สาขา 

ขณะเดียวกันยังเข้าร่วมทุนกับ Jusda Supply Chain Management International (JUSDA) เพื่อจัดตั้งบริษัทขนส่งและบริหารจัดการ Supply chain ที่ให้บริการทางตอนใต้ของจีนและอาเซียน ซึ่งปัจจุบันมีการค้าขายระหว่างสองภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น ในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง สินค้าเกษตรและอาหาร และธุรกิจต่อยอดแบบคัดคุณภาพ รวมทั้งการซื้อขายออนไลน์ โดยคาดว่าจะจัดตั้งบริษัทแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ 

“เอสซีจียังมีแผนการขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในไทยเอง เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และยังขยายธุรกิจให้กว้างขึ้นเพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า ไม่ว่าจะเป็น อาหาร ออนไลน์ ภาคบริการ โลจิสติกต์  เนื่องจากตลาดอาเซียนยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง” นายรุ่งโรจน์กล่าว

สำหรับในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศที่ดีขึ้น โครงการลงทุนของภาครัฐที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น ขณะที่การค้าชายแดนยังไปได้ดี จะทำให้ยอดขายของเอสซีจีในครึ่งปีหลังน่าจะทำได้ใกล้เคียงหรือดีกว่าครึ่งปีแรกที่เติบโตได้ 6% เล็กน้อย เช่นเดียวกับยอดขายในประเทศที่เติบโต 3% (ยอดขายต่างประเทศเติบโต10%) ในครึ่งปีแรก จะทำได้ใกล้เคียงหรือดีกว่าเล็กน้อยในครึ่งปีหลัง 

Baania มี Line แล้วนะ
ติดตามเรื่องราวอสังหาริมทรัพย์แบบอินเทรนด์ ได้ทุกวันผ่าน Line ID @baania

 

ประกาศยอดนิยม ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร

โครงการยอดนิยม ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร