ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในมุมมอง นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI สะท้อนว่า “ในปีนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากมาตรการ LTV ทำให้ภาพรวมตลาดคงจะไม่หวือหวาเช่นที่ผ่านมา จากนี้คงเป็นของจริงทั้งหมด ซึ่งการปรับตัวสำหรับบริษัทในปีนี้เน้นที่การสร้างสินค้าที่น่าสนใจ ไม่แพง และส่งคุณค่าถึงลูกค้าให้มากที่สุด”
ทิศทางธุรกิจออริจิ้นในปี 2562 โดยมีสองสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนในภาพรวมนั่นคือ Smart Products และ Excellent Services
“Smart Products การพัฒนาโปรดักต์เน้นที่การคิดใหม่ ทำใหม่ และปรับปรุงให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน แต่สิ่งที่จะทำให้การลอกเลียนแบบเกิดขึ้นได้ยากมาจาก Excellent Services บริการด้วยใจและมีการต่อยอด จาก 2.0 ที่มีอยู่เดิมเป็น 3.0 และ 4.0 ที่จากนี้จะมีการนำเทคโนโลยี PropTech และ ServiceTech ให้มากขึ้น”
ด้วยสถานการณ์ตลาดรวมอสังหาริมทรัพย์ดังที่กล่าวมา ออริจิ้น ได้มีการปรับธุรกิจเพื่อให้สอดรับกับสิ่งที่เกิดขี้นพร้อมกับเดินแผนในระยะกลาง และระยะยาวเอาไว้ โดยมีปลายทางไว้อย่างชัดเจน
ปี 2562 มุ่งสร้างผลประกอบการของกลุ่มให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากนี้มีหลายภารกิจที่ต้องทำทั้งการสร้าง Service Excellence การพัฒนาทักษะและความสามารถด้านบริการโดยนำมาตรฐานโรงแรมมาปรับใช้ ทั้งยังเน้นขยายบริการในกลุ่มธุรกิจให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงเพิ่มพันธมิตรทางธุรกิจให้มากกว่าเดิม และการร่วมทุนกับแอปพลิเคชันอื่นๆ ซึ่งเป็นธุรกิจบีทูบี จากที่ก่อนหน้านี้ร่วมทุนกับบลัตเลอร์ในการให้บริการกับลูกค้า
ปี 2563 วางแผนจะเอาธุรกิจบริการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ปี 2564 ต้องการก้าวเป็นผู้นำในธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์สมัยใหม่แบบครบวงจร รวมทั้งพัฒนาและลงทุนในธุรกิจสมัยใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย
การจะเดินไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ นายพีระพงศ์ กล่าวว่า ออริจิ้น ปรับการให้น้ำหนักกับโปรดักต์ในพอร์ต โดยเพิ่มสัดส่วนแนวราบ และสร้างเซ็กเมนต์ให้เหมาะกับตลาดอย่างชัดเจน
ในปีนี้ ออริจิ้น วางแผนเปิดโครงการเพื่อขายกว่า 26,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจเช่า เตรียมเปิดโรงแรมอีก 2 แห่งในช่วงปลายปี โดยตั้งเป้ายอดขายทั้งปีไว้กว่า 28,000 ล้านบาท และรายได้กว่า 19,000 ล้านบาท
โครงการเปิดใหม่ที่เปิดขาย มุ่งเน้น 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) แบรนด์คอนโดมิเนียม เน้นกลุ่ม Young Rich & Success อายุ 30-45 ปี ที่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ในทำเล CBD และ New CBD กำหนดราคาขายประมาณ 4-6 ล้านบาทต่อยูนิต
ดิ ออริจิ้น (The Origin) แบรนด์คอนโดมิเนียม เจาะกลุ่มลูกค้า New Gen วัยเริ่มต้นทำงาน อายุประมาณ 24-28 ปี ชอบที่จะเปลี่ยนค่าเช่าเป็นทรัพย์สิน เน้นการซื้อคอนโดตามแนวรถไฟฟ้า ย่านส่วนต่อขยายธุรกิจ (EBD) ราคาขายประมาณ 1.6-2.4 ล้านบาท
บริทาเนีย (Britania) แบรนด์โครงการแนวราบทั้งทาวน์โฮม บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว เจาะกลุ่มวัยเริ่มต้นครอบครัว อายุ 28-45 ปี ระดับราคา 2.5-6 ล้านบาท
“Brand Segmentation ที่ชัดเจน ทำให้บริษัทตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะมีการปรับตัวครั้งใหญ่จาก Macro Prudential Policy ของธนาคารแห่งประเทศไทย”
สำหรับโครงการที่จะเปิดขายในปี 2562 มูลค่ารวมกว่า 26,000 ล้านบาทนั้นจะอยู่ในทำเลแตกต่างกันไปเริ่มที่ พาร์ค ออริจิ้น มีด้วยกัน 3 โครงการในทำเลราชเทวี พระราม 4 และอีก 1 โครงการในย่าน New CBD มูลค่าประมาณ 9,000 ล้านบาท
ส่วนแบรนด์ ดิ ออริจิ้น จะมีทั้งหมด 7 โครงการ ในย่าน สุขุมวิท รัชดา ลาดพร้าว รามคำแหง และรามอินทรา มูลค่าประมาณ 9,000 ล้านบาท
Origin District Rayong โครงการมิกซ์ยูสใหม่ มูลค่า 2,000 ล้านบาท และ บริทาเนีย ที่เตรียมเปิดขายมี 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท
โดยในภาพรวมปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายจากทั้งโครงการเก่าและใหม่ไว้ที่ 28,000 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2561 สามารถสร้างยอดขายรวมได้มากกว่า 27,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ ออริจิ้นยังมีอีกส่วนของรายได้ที่มาจากกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน โดยเตรียมเปิดตัวโรงแรมใหม่อีก 2 โครงการ ทำให้ออริจิ้นจะมีการเติบโตโดยมีที่มาจากรายได้ที่หลากหลาย และมีมั่นคงยั่งยืนมากยิ่งขึ้น