ในปัจจุบันการใช้ส้วมแบบชักโครกนั้นมีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งตัวของชักโครกเองนั้นได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความสะอาด ความสะดวก มากที่สุดในระหว่างการใช้งาน รวมไปถึงมีการออกแบบให้เหมาะสมกับสรีระของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น ด้วยหลายๆ ปัจจัยนี้ทำให้การเลือกชักโครกเพื่อนำไปใช้งานกลายเป็นเรื่องที่มีคามละเอียดอ่อน และต้องให้ความใส่ใจมากพอสมควร เพราะถ้าเลือกใช้ชักโครกที่ไม่เหมาะสมกับรูปแบบการใช้งานจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้หายอย่างเลยทีเดียว
ถ้าแบ่งชักโครกตามรูปแบบการใช้งานของโถสุขภัณฑ์นั้นในปัจจุบันสามารถแบ่งชักโครกได้เป็น 3 ประเภทคือ
ระบบการชำระล้างของชักโครกนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 4 รูปแบบตามลักษณะของการใช้น้ำชำระล้างสิ่งปฏิกูลให้ลงไปในระบบระบายน้ำนั่นเอง โดยระบบการชำระล้างทั้ง 4 รูปแบบได้แก่
จุดขายของชักโครกในปัจจุบันนอกจากจะเป็นระบบผลักดันของเสียที่มีประสิทธิภาพแล้วนั้น เรื่องของการประหยัดน้ำยังเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ซื้อทุกคนล้วนนำมาพิจารณาในการตัดสินใจ เนื่องจากชักโครกตามปกติมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำอยู่ที่ 10 – 15 ลิตรต่อการกดน้ำหนึ่งครั้ง ถ้าใช้ 10 ครั้งต่อวันจะสิ้นเปลืองน้ำประมาณ 100 -150 ลิตรเลยทีเดียว
ชักโครกประหยัดน้ำคือชักโครกรุ่นต่างๆ ที่ทางผู้ผลิตแทบทุกค่าต่างพัฒนาออกมาเพื่อให้การชำระแต่ละครั้งใช้น้ำน้อยที่สุด แต่ยังคงประสิทธิภาพ และความสะอาดเอาไว้ได้อย่างครบถ้วนนั่นเอง ซึ่งชักโครกประหยัดน้ำจะใช้น้ำในการชำระแต่ละครั้งประมาณ 6 ลิตร หรือน้อยกว่านั้น ถือว่าเป็นการประหยัดได้ถึง 50% เลยทีเดียว ซึ่งชักโครกประหยัดน้ำสามารถหาซื้อได้ตามแหล่งจำหน่ายสุขภัณฑ์ทั่วไป และมีหลากหลายแบรนด์ หลายหลายราคาให้เลือกได้ตามความเหมาะสม
ระบบท่อน้ำทิ้งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่สามารถละเลยได้สำหรับการเลือกซื้อชักโครก เนื่องจากระบบท่อน้ำทิ้งนั้นบางบ้านไม่ได้ทำไว้แบบมาตรฐาน ทำให้การเลือกซื้อชักโครกนั้นอาจมีปัญหาได้ และถ้าซื้อชักโครกที่ไม่สามารถต่อเข้ากับระบบท่อน้ำทิ้งได้อย่างเหมาะสมแล้ว ปัญหาอื่นๆ ก็จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรั่วซึม กลิ่นเหม็นในห้องน้ำ เป็นต้น
ระบบท่อน้ำทิ้งสำหรับบ้านพักอาศัยส่วนมากจะเป็นแบบท่อน้ำทิ้งลงพื้น โดยกึ่งกลางท่อน้ำทิ้งส่วนมากจะห่างจากผนังประมาณ 30 เซนติเมตร หรือแตกต่างกันไปตามการออกแบบ ดังนั้นการเลือกชักโครกให้เหมาะกับบ้านควรเป็นแบบท่อน้ำทิ้งลงพื้น รวมถึงความยางของชักโครกต้องไม่มากกว่าระยะห่างของผนังและท่อน้ำทิ้งนั่นเอง
ส่วนระบบท่อน้ำทิ้งของอาคารจะเป็นแบบท่อน้ำทิ้งออกผนัง ดังนั้นการเลือกซื้อชักโครกสำหรับอาคารต้องเป็นแบบมีท่อน้ำทิ้งออกทางด้านหลัง โดยความสูงของท่อน้ำทิ้งด้านหลังของชักโครกต้องสามารถต่อเข้ากับท่อน้ำทิ้งของอาคารได้พอดี การเลือกซื้อชักโครกแบบท่อน้ำทิ้งด้านหลังจึงจำเป็นต้องวัดความสูงจากพื้นถึงกึ่งกลางท่อน้ำทิ้งไปด้วย เพื่อให้สามารถเลือกชักโครกได้อย่างเหมาะสม
เมื่อเข้าใจถึงระบบการทำงานของชักโครก อัตราการสิ้นเปลืองของน้ำต่อการใช้ในแต่ละครั้ง รวมไปถึงความสัมพันธ์ของชักโครกกับระบบท่อน้ำทิ้งแล้ว ลองมาดูว่าปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องนำมาพิจารณาในการเลือกซื้อชักโครกนั้นมีอะไรบ้าง
ส่วนแบบสองชิ้นนั้นจะเป็นชักโครกที่มีราคาถูกกว่า สามารซ่อมบำรุงได้ง่ายกว่าแบบชิ้นเดียว เพราะเมื่อมีการชำรุดสามารถเปลี่ยนได้เฉพาะส่วน แต่แบบชิ้นเดียวต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งอัน และข้อเสียของชักโครกแบบสองชิ้นที่ไม่ควรมองข้ามคือสามารถทำความสะอาดได้ยากกว่าเนื่องจากมีซอกมุมที่เยอะกว่าชักโครกแบบชิ้นเดียวนั่นเอง
จะเห็นได้ว่าการเลือกซื้อชักโครกให้เหมาะสมกับการใช้งานนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีหลากหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง ความสะดวกในการใช้งาน การวางท่อระบบน้ำทิ้ง อัตราการสิ้นเปลืองของน้ำ และที่สำคัญคือเรื่องของราคา ดังนั้นการเลือกซื้อชักโครกแต่ละครั้งต้องพิจารณารายละเอียดต่างๆ ให้รอบด้าน รวมถึงการติดตั้งควรใช้ช่างที่มีความชำนาญมาเป็นผู้ติดตั้ง ซึ่งการติดตั้งที่เรียบร้อยจะช่วยลดปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างเช่นการรั่วซึม หรือการแตกร้าวได้นั่นเอง