อยู่ที่นี่มาก็ตั้งหลายปี ไม่เคยคิดเลยว่าเชียงใหม่จะติดอันดับหนึ่งเมืองที่มีมลพิษสูงที่สุดในโลกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ส่วนจังหวัดอื่นๆก็แย่ไม่แพ้กัน อากาศแย่จนมองเห็นฝุ่นได้ด้วยตาเปล่า แบบนี้ดูเหมือนว่าปัญหา PM 2.5 จะกลายเป็นสิ่งที่เราต้องพบเจอกันอยู่ทุกปี ดังนั้นอาจจะถึงเวลาที่เราจะต้องซื้อเครื่องฟอกอากาศติดบ้านเอาไว้แล้วนะครับ แต่พอจะเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศสักเครื่อง ทำไมมันดูซับซ้อนและยุ่งยากจัง ใจเย็นก่อนครับ Baania เอาแนวทางการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศแบบง่ายๆมาฝากกัน
เครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier) เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้หลักการเดียวกับพัดลมโดยดูดอากาศเข้าไปในตัวเครื่อง ให้อากาศผ่านระบบการกรองอากาศ ก่อนจะปล่อยอากาศกลับมาด้านนอก โดยระบบเครื่องฟอกอากาศที่นิยมใช้กัน คือเครื่องฟอกอากาศระบบที่กรองอากาศด้วยแผ่นกรองอากาศ ซึ่งในตลาดก็มีให้เลือกหลายราคา หลายขนาด หลายแบรนด์ ด้วยกัน ทั้งนี้การเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศก็ต้องดูหลายๆส่วนประกอบกันแล้วนำมาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย โดยมีแนวทางการเลือกซื้อดังนี้
1. เลือกเครื่องให้เหมาะกับขนาดห้อง
อันดับแรกสุดเมื่อต้องการซื้อเครื่องฟอกอากาศ คือต้องรู้ว่าเราจะซื้อเครื่องฟอกอากาศไปวางไว้ที่ห้องไหนและห้องนั้นจะมีขนาดกี่ตารางเมตร เพื่อเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศที่รองรับกับขนาดของห้อง อย่างไรก็ตามควรเลือกขนาดการรองรับที่ใหญ่กว่าขนาดห้อง เพื่อประสิทธิภาพที่ดีมากขึ้น เช่น ถ้าห้องใหญ่ 20 ตารางเมตร ก็ควรเลือกรุ่นที่รองรับห้องที่ขนาด 20-25 ตารางเมตรขึ้นไป จะช่วยทำให้ประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
2. เปรียบเทียบความเร็วในการฟอกอากาศ
มีค่า 2 ตัวที่เราใช้เลือกเวลาซื้อเครื่องฟอกอากาศ ตัวแรกเรียกว่าค่า CADR (Clean Air Delivery) หรือค่าปริมาณอากาศที่เครื่องสามารถเปลี่ยนถ่ายได้ใน 1 นาที ยิ่งมีตัวเลขสูงยิ่งฟอกอากาศได้ดี และค่า Air Flow หรือค่าความเร็วลม เป็นค่าที่บอกว่าเครื่องสามารถกรองอากาศและปล่อยอากาศบริสุทธิ์ได้เร็วแค่ไหน ยิ่งมีตัวเลขสูงยิ่งฟอกอากาศได้เร็ว ในการเลือกซื้อก็สามารถใช้ตัวเลข 2 ค่านี้เพื่อเปรียบเทียบรุ่นที่สนใจได้
3. รู้จักไส้กรองให้ดี เลือกให้ตรงความต้องการ
ไส้กรองจัดเป็นหัวใจหลักของเครื่องฟอกอากาศเลยก็ว่าได้ นอกจากแผ่นกรองอากาศขั้นแรกแล้ว ยังมีแผ่นกรองอากาศพิเศษที่ใส่เพิ่มเข้ามาเพื่อให้สามารถกรองฝุ่นได้ดียิ่งขึ้น หรือกรองสิ่งอื่นๆได้ด้วย โดยมีแผ่นกรองที่เห็นได้บ่อยๆ ดังนี้
4. เลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าให้เป็น
ขึ้นชื่อว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็ควรจะเลือกแบบที่มีฉลากไฟเบอร์ 5 และมีระบบเปิดปิดเครื่องอัตโนมัติเพื่อให้ประหยัดพลังงาน มีการลักษณะปลั๊กเสียบเป็นอย่างไรหรือมีการใช้แบตเตอรี่แทน สามารถสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟนหรือรีโมทได้ไหม มีรูปร่างและน้ำหนักที่ใหญ่มากน้อยแค่ไหน สามารถเคลื่อนย้ายเครื่องได้ง่ายไหม มีดีไซน์ที่หากวางในบ้านจะดูเข้ากับการตกแต่งบ้านรึเปล่า รายละเอียดเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้น บางคนอาจเลือกที่ดีไซน์ก่อนประสิทธิภาพก็ไม่ผิดนะครับ
5. เลือกฟังก์ชั่นพิเศษที่จำเป็นจริงๆก็พอ
นอกจากฟังก์ชั่นการฟอกอากาศแล้วเครื่องฟอกอากาศยังมีฟังก์ชั่นอื่นๆที่ใส่เข้ามาในด้วย เพื่อประสิทธิภาพและความสะดวกที่มากขึ้น ทั้งนี้ควรเลือกเฉพาะที่จำเป็นจริงๆก็พอ เพราะถ้าเป็นรุ่นที่ทำอะไรได้หลายอย่างก็ย่อมทำให้มีราคาแพงขึ้นเช่นกัน โดยฟังก์ชั่นที่พบเห็นได้ทั่วไป อาทิ
6. เทียบค่าใช้จ่ายระยะยาวและการดูแลหลังการขาย
นอกจากการเปรียบเทียบราคาของเครื่องในตอนซื้อแล้ว ไส้กรองอากาศและอุปกรณ์ต่างๆย่อมมีอายุการใช้งานที่ต้องเปลี่ยนเมื่อถึงเวลา โดยไส้กรองจะต้องเปลี่ยนทุกๆ 6 เดือน ถึง 1 ปี ดังนั้นจึงควรคำนวณค่าใช้จ่ายตรงนี้ไว้ด้วยว่าต้องเสียเท่าไหร่ รวมทั้งการดูแลหลังการขายว่าหากเครื่องเสียหรือต้องเปลี่ยนอะไหล่จะสามารถส่งซ่อมและซื้อเปลี่ยนได้ที่ไหน ทั้งนี้สอบถามเรื่องเงื่อนไขการรับประกันจากพนักงานเสนอขายมาด้วยนะครับ
นี่เป็นเพียงคำแนะนำเบื้องต้นเมื่อคุณต้องการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศไว้ที่บ้านนะครับ เพราะถ้าเอาจริงๆก็มีรายละเอียดปลีกย่อยค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว แต่หลักการก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเลือกเครื่องฟอกอากาศที่ตอบโจทย์เราจริงๆ อันไหนที่ไม่จำเป็นก็ตัดทิ้งไปก่อนก็ได้ หรือจะเลือกแบบซื้อครั้งเดียว ครบ จบ แม้จะมีราคาสูงหน่อยแต่ก็คุ้มค่าในระยะยาวก็น่าสนใจเช่นกัน ก็ขอให้ได้เครื่องฟอกอากาศที่ถูกใจกันนะครับ จะได้อยู่ในบ้านที่มีอากาศบริสุทธิ์และดีต่อสุขภาพของเรา
ที่มารูปภาพ: