แอร์ฟอกอากาศไม่เย็น กินไฟเยอะจะหมดไป เมื่อรู้จักประเภทการใช้งาน ความเหมาะสมของเครื่องในพื้นที่ต่าง ๆ และยังช่วยให้เลือกรุ่นอย่างถูกต้อง ดูแลรักษาให้มีอายุยาวนาน ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ เพียง 9 ข้อ ได้เรื่อง แก้ปัญหาตรงจุด
หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เครื่องปรับอากาศ (Air Conditioner) มีหน้าที่หลัก 2 อย่างด้วยกันคือ ปรับอุณหภูมิในห้อง และการนำอากาศที่อยู่โดยรอบเครื่องในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น ห้องนอน ห้องรับแขก หรือห้องทำงานที่ไม่มีการแลกเปลี่ยนกับบรรยากาศภายนอกให้มีสภาพอากาศที่บริสุทธิ์ต่อผู้พักอาศัยบริเวณดังกล่าว โดยระหว่างการแลกเปลี่ยนจะดูดเชื้อโรค หรือกลิ่นอับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของแอร์ฟอกอากาศที่ซื้อมาด้วย ปัจจุบันมีการออกแบบ ที่หลากหลายช่วยเสริมให้บ้านมีความทันสมัยยิ่งขึ้น และรูปแบบการติดตั้งไม่ได้มีเพียงวิธีเดียวเหมือนยุคเก่าจึงสะดวกต่อการจัดวาง ทั้งนี้วัสดุ แรงดูด และขนาดของเครื่องที่นำมาติดตั้งจะช่วยทำให้ห้อง หรือบ้านทั้งหลังมีอากาศที่ดีขึ้นได้
สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกันคือกรองฝุ่น จัดการเชื้อไวรัส และขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกไป โดยปกติแอร์ฟอกอากาศจะมีคุณสมบัติในการเปลี่ยนถ่ายอากาศไม่ดีให้เป็นอากาศที่ดีอยู่แล้ว เพื่อให้ปอด หรือระบบทางเดินหายใจไม่รับสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายจนอาจให้เกิดโรคร้ายต่าง ๆ ได้
การกรองฝุ่น ถือเป็นปัญหาหลักของผู้คนที่พักอาศัยภายในพื้นที่แออัด ใกล้แหล่งก่อสร้าง หรือมีการคมนาคมรอบบ้านอยู่เสมอ ทำให้แอร์ฟอกอากาศที่มีระบบที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 หรือน้อยกว่านั้นได้ดี ถูกนำมาใช้กันมากขึ้น
การจัดการเชื้อไวรัส นิยมนำมาใช้ในห้องนอนเป็นส่วนมาก เพื่อให้การพักผ่อนเป็นไปอย่างเต็มอิ่มทั้งคืน ไม่มีปัญหาของไอจามสำหรับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้อากาศ หรือไรฝุ่น และบางรุ่นมีระบบปรับสภาพอากาศทำให้ตื่นนอนตอนเช้าไม่ทำให้คอแห้ง หรือขาดน้ำได้
ขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ มักใช้ในห้องรับประทานอาหาร หรือห้องทำงาน เนื่องจากกับข้าว อาหารที่นำมาทานที่มีกลิ่นแรง เช่น ส้มตำ น้ำพริกปลาร้า หรืออาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ จะส่งกลิ่นโชยไปทั่วห้อง หลังรับประทานเสร็จแล้วก็อาจหลงเหลือกลิ่นของเครื่องเทศดังกล่าวอยู่จนทำให้ห้องเหม็น การใช้เครื่องฟอกอากาศเข้ามาจัดการจะทำให้ห้องมีบรรยากาศที่ดีขึ้น และสำหรับห้องทำงานที่มีกลิ่นอับจะทำให้การทำงานมีสมาธิ เป็นผลต่อประสิทธิภาพของงานด้วย
มีทั้งสิ้น 2 แบบด้วยกันที่พบมากในท้องตลาดได้แก่ แบบตั้งบนพื้น และแบบติดตั้งบนผนัง ซึ่งมีความแตกต่างในเรื่องของขนาด ระยะการแลกเปลี่ยนอากาศ และการเคลื่อนย้ายตัวเครื่องในจุดต่าง ๆ ของห้อง หรือบ้าน
แบบตั้ง จะใช้ในพื้นที่เล็กไปจนถึงกลาง มีขนาดเครื่องปรับอยู่ที่ 6,000-12,000 บีทียู เคลื่อนย้ายสะดวก สามารถแยกย่อยได้อีก 3 แบบด้วยกัน คือ แบบกรองอากาศเพียงอย่างเดียว จะไม่มีการติดตั้งเพิ่มเติมใด ๆ จึงสะดวกต่อการใช้งาน นำมาใช้เพื่อเปลี่ยนอากาศให้บริสุทธิ์ อาจนำเครื่องปรับอากาศที่ทำความเย็นเข้ามาเสริมในห้องด้วย แบบมีระบบฟอกอากาศ จำเป็นต้องทำท่อให้กับเครื่องในการนำอากาศภายในออกสู่ภายนอก และต้องดูแลระบบน้ำในตัวเครื่องที่เกิดจากการฟอกให้น้อยอยู่เสมอ เครื่องจึงจะทำความเย็น และปรับอุณหภูมิของห้องได้ สุดท้ายแบบเติมน้ำ ช่วยในเรื่องความเย็นเป็นหลัก ไม่มีการติดตั้งที่ยุ่งยาก เพียงดูแลระบบน้ำในอยู่ในปริมาณที่กำหนด และหมั่นทำความสะอาดบ่อยครั้ง
แบบติดตั้งบนผนัง จะมีขนาดเครื่องปรับอยู่ที่ 9,000-26,000 บีทียู ราคาสูงกว่าแบบตั้ง เหมาะสำหรับติดตั้งในบ้านถาวรไม่มีการเคลื่อนย้าย และมีขนาดใหญ่ ซึ่งระบบต่าง ๆ จะถูกวางไว้เรียบร้อยก่อนการใช้งานแล้ว สามารถแบ่งระบบออกเป็น 2 แบบด้วยกันคือ แบบปรับอุณหภูมิเพียงอย่างเดียว จะทำการแลกเปลี่ยนอากาศให้กับตัวห้องให้มีความเย็นตามที่ตั้งเอาไว้ และแบบมีระบบฟอกอากาศด้วย โดยมีหน้าที่สองลักษณะคือปรับอุณหภูมิของห้อง และกรองอากาศให้บริสุทธิ์ การติดตั้งแบบผนังจำเป็นต้องให้ผู้เชียวชาญเดินระบบให้หากผู้ซื้อไม่มีความรู้ในเรื่องดังกล่าว อาจเกิดอันตรายได้
มีความคล้ายคลึงกัน เพียงแต่เครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier) จะเน้นหนักไปกับอากาศภายในห้องเป็นหลัก โดยมีแผ่นกรองทั้งหมด 3 อย่าง ได้แก่ แผ่นกรองอากาศชั้นต้น (Pre-Filter) เพื่อดักจับฝุ่นละอองขนาดใหญ่ทั่วไป แผ่นกรองอากาศ HEPA (HEPA Fliter) ใช้สำหรับดักฝุ่นไม่เกิน 2.5 ไมครอน และแผ่นกรองกลิ่น (Carbon Fliter) เป็นมาตรฐานในการทำงาน จึงมักซื้อมาเป็นเครื่องแบบตั้งพื้นต่างหาก เพื่อใช้จัดการพื้นที่บางจุดที่ไม่สามารถนำแอร์ฟอกอากาศเข้าไปได้ เช่น ห้องเก็บของ ห้องใต้หลังคา
ไม่จริง หากมีปัจจัยเพียงตัวเครื่องเท่านั้น ตัวแอร์ฟอกอากาศจะมีระบบควบคุมอากาศของห้องคอยตรวจจับอุณหภูมิอยู่เสมอ เมื่ออากาศถึงจุดที่ตั้งเป้าเอาไว้จะทำงานช้าลงเพื่อเตรียมปรับอุณหภูมิใหม่ แต่สำหรับเครื่องแอร์ทั่วไปจะถูกตั้งให้ปล่อยความเย็นเรื่อย ๆ จนถึงเป้าจะหยุดการทำงานลงเมื่อถึงจุดที่ต้องการเครื่องจะเริ่มทำงานใหม่ ไม่เหมือนแอร์ฟอกอากาศ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับห้องที่ติดตั้งหากเป็นห้องที่มีการเปิด-ปิดประตูบ่อยครั้ง เช่น ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ควรเป็นแอร์ทั่วไป แต่หากเป็นห้องที่ต้องอยู่นาน 6-8 ชั่วโมง เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน หรือห้องอ่านหนังสือ ควรเป็นแอร์ฟอกอากาศจะประหยัดมากกว่า
สามารถนำแผ่นกรองอากาศมาติดเพิ่มให้กับแอร์ทั่วไปได้ โดยตัวเครื่องต้องมีตะแกรงกรองอากาศก่อน โดยพิจารณาเลือกวัสดุเหมือนเครื่องฟอกอากาศก่อนว่าใช้เพื่อจุดประสงค์ใด ไม่ควรติดตั้งแผ่นกรองซ้อนกันเกิน 1 แผ่น เพื่อทำให้แอร์มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด
วิธีการ ซื้อแผ่นกรองที่มีขนาดใหญ่พอในการคุมตะแกรงกรอง ทำความสะอาดตะแกรงในแอร์ให้แห้งเรียบร้อย และนำมาวัดขนาดเพื่อตัดแผ่นกรองที่จัดเตรียมเอาไว้ นำแผ่นกรองและตะแกรงมาติดตั้งในถูกต้องพร้อมยึดติดกันด้วยสติกเกอร์ใส นำมาใส่ในแอร์เปิดใช้งานได้ปกติ ข้อควรระวังสำหรับแผ่นกรองที่นำไปติดกับตะแกรงแอร์ต้องมีการเว้นพื้นที่ประมาณ 30% ของแผ่นตะแกรงแอร์ เพื่อให้เครื่องมีทางเดินของอากาศ โดยการเจาะรูแผ่นกรอง หรือเว้นที่ว่างบางส่วนของตะแกรง
แบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือ ขนาดของห้อง ซึ่งปกติแล้วแอร์ฟอกอากาศนั้นจะบอกค่าขนาดเครื่องปรับ หรือ BTU เอาไว้ เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถประมาณการใช้งานของพื้นที่ได้ โดยคำนวณจากห้องที่ผู้ซื้อต้องการติดตั้งคือ กว้าง*ยาว*600, 800 หรือ 1,200 ขึ้นอยู่กับพื้นที่นั้นมีแสงแดดมาก หรือเป็นบริษัท (มีหน่วยเป็นเมตร) ตัวอย่าง นายนา มีห้องรับแขกที่มีแสงแดดส่องผ่านเล็กน้อยขนาด 4*5 เมตร ดังนั้นแอร์ของเขาควรมีค่าขนาดเครื่องปรับอยู่ที่ 12,000 BTU
และห้องที่ใช้นั้นต้องการทำอะไร โดยตัวแอร์ฟอกอากาศมีสองระบบในเครื่องเดียวกันคือ ปรับอุณหภูมิและกรองอากาศหากเข้าใจในพื้นที่ของห้องนั้นว่าต้องการใช้เพื่ออะไรจะช่วยลดราคาของเครื่องที่ซื้อได้มากยิ่งขึ้น
ทำด้วยตนเองง่าย ๆ เพียง 2 ขั้นตอนคือ การทำความสะอาดพื้นฐาน โดยการนำแผ่นกรองหรือตะแกรงที่สามารถล้างได้ไปฉีดน้ำ หรือผสมน้ำยาล้างแอร์อย่างระมัดระวัง ตากให้แห้งจึงนำกลับมาติดตั้งใหม่ทุก 1-2 ครั้งต่อเดือน และการล้างแอร์ครั้งใหญ่ส่วนนี้ต้องมีค่าใช้จ่ายเรื่องช่างเข้าจัดการในส่วนที่เจ้าของบ้านไม่สามารถทำความสะอาดได้ โดยมีระยะเวลาประมาณ 4-6 เดือนต่อการจ้าง 1 ครั้ง ทั้งนี้ยังสามารถตรวจสอบการทำงานด้วยการสังเกต หรือฟังเสียงผิดปกติ หากเกิดขึ้นควรแก้ไขอย่างรวดเร็ว
สามารถแบ่งออกเป็น 5 รุ่นที่มีความแตกต่างและนิยมใช้กันในยุคนี้ โดยแอร์ฟอกอากาศทุกเครื่องจะมีการออกแบบ ขนาดและราคาที่ใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ซื้อ
Mitsubishi 3D MOVE EYE HUMAN SENSOR
มีจุดเด่นในการใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิในร่างกายของผู้ที่อาศัยภายในห้อง และส่งอากาศบริสุทธิ์ไปหาโดยอัตโนมัติ
Daikin SMILE LITE INVERTER
มาพร้อมระบบจัดการพิเศษ Mold-proof Operation โดยเปลี่ยนโหมดมาใช้พัดลมอัตโนมัติ เพื่อลดความชื้นภายในเครื่อง ป้องกันกลิ่นอับ และเชื้อรา
Carrier X INVERTER
มีการติดตั้งฟังก์ชั่น X-IONIZER ในตัวเครื่องที่สามารถดักจับฝุ่น PM 2.5 ขจัดเชื้อโรค แบคทีเรีย และกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในห้องได้เป็นอย่างดี
Saijo Denki ULTRAFINE INVERTER
เน้นในส่วนประกอบการกรองอากาศให้มีประสิทธิภาพด้วย แผง Ultrafine โดยแบ่งออกเป็น 3 ชั้นตามมาตรฐานเครื่องฟอกอากาศ สามารถทำความสะอาดได้
LG DUALCOOL with Air Purifying System
ก้าวทันสมัยด้วยแอปพลิเคชัน LG Smart ThinQ ที่สามารถติดตั้งได้กับมือถือเพื่อใช้ตรวจสอบค่าฝุ่น การทำงาน หรือสั่งการเปิด-ปิดระบบของห้องได้ทุกที่
แอร์ฟอกอากาศ เป็นนวัตกรรมใหม่ที่รวมการปรับอุหภูมิและกรองอากาศเข้าไว้ด้วยกัน จึงทำให้เครื่องมีระบบที่ซับซ้อน และมีราคาสูงขึ้น หากไม่มีการดูแลที่ถูกต้อง หรือเลือกใช้ผิดไปจากวัตถุประสงค์ของเครื่องอาจทำให้อายุการใช้งานสั้นลงได้