จำได้ว่าตอนเป็นเด็กนักเรียน เวลาพูดถึงบ้าน ครูมักจะพูดถึงเรือนไม้หรือบ้านตึก
มีหลังคาจั่ว ผนังไม้ หรือกำแพงอิฐ มีสนามหญ้ารอบบ้านพร้อมทั้งต้นหมากรากไม้ให้ร่มเงา
จนทำให้ผมรู้สึกแปลกต่าง แต่เมื่อบ้านที่ผมอยู่อาศัยเป็นตึกแถวที่พ่อแม่เปิดร้านขายของ
จึงไม่มีต้นหญ้าและดอกไม้ รอบๆที่นอนยังมีสินค้ากองเต็มไปหมด ครัวและห้องน้ำ
ล้วนมีขนาดเล็กมาก จะมีจุดสีเขียวก็แค่กระถางต้นไม้ตรงระเบียงเท่านั้น บ้านผมจึงสร้างความรู้สึกแปลกต่างไปจากคนอื่น
ยิ่งเวลาครูให้เขียนเรียงความเรื่อง บ้านของฉัน ผมจำต้องใช้จินตนาการมากเป็นพิเศษ
ต้องคิดและเขียนถึงบ้านในฝันที่แสนจะห่างไกลจากความเป็นจริง จนเป็นที่มาของงานออกแบบบ้านและงานเขียนในปัจจุบัน (ฮา)
อย่างไรก็ตาม เรื่องบ้านหรือตึกแถว ก็ไม่เคยเป็นปัญหาหรือเป็นปมด้อยแต่อย่างไร เพราะผมมีเพื่อนที่อาศัยอยู่ในตลาดแบบเดียวกันอีกหลายคน บางคนยังอยู่ในตึกแถว
ที่มีขนาดเล็กกว่าร้านผมเสียอีก นั่นหมายความว่า เขาคงต้องใช้จินตนาการมากกว่าผม
ต่อมาแม่พาพวกเราไปอยู่บ้านใหม่ แม้ผมจะมีที่นอน ที่นั่งเล่นเพิ่มมากขึ้น แต่สภาพ
ก็ยังไม่แตกต่างมากนัก ด้วยบ้านใหม่อยู่บนถนนข่วงเมรุ ห่างจากทางแยกถนนช้างม่อย
ไม่ถึงสามสิบเมตร และอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตลาดวโรรส สภาพแวดล้อมจึงเหมือนเดิมทุกประการ บ้านใหม่ยังเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน สูงสามชั้น รูปร่างหน้าตาก็เป็นแบบเดียวกับตึกแถวทั่วไป
สิ่งที่ต่างออกไปคือหลังคาที่เป็นดาดฟ้าให้ขึ้นไปได้ ตั้งแต่นั้นมาผมเลยมีที่กินลมชมวิว
เห็นทัศนียภาพมุมสูงของเชียงใหม่
ด้วยทำเลอยู่ใกล้ตลาด แม่เล่ากว่าพ่อซื้อที่ดินแปลงนี้ที่มีขนาดเล็กนิดเดียวในราคาแพงมากในเวลานั้น (พ.ศ. 2497) คือหมื่นหกพันบาทสำหรับที่ดินไม่ถึงยี่สิบตารางวา
แม่จึงให้ช่างเทศบาลออกแบบบ้านเต็มพื้นที่ ซึ่งในตอนนั้นยังไม่มีเทศบัญญัติกำหนดแนวถอยร่น
บ้านใหม่ของผมจึงไม่มีสนามหญ้าทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านเหมือนเดิม
ผมมารู้ภายหลังว่าช่างเทศบาลที่ออกแบบบ้านให้นั้น เป็นถึงสถาปนิกรุ่นพี่ชื่อ ทองหยด สุวรรณประทีป (ที่จริงน่าจะเป็นรุ่นพ่อมากกว่า ขนาดว่าลูกสาวท่านก็ยังเป็นนักเรียนสถาปัตย์รุ่นพี่ผม) ท่านน่าจะเป็นสถาปนิกเทศบาลนครเชียงใหม่คนแรก ที่สร้างผลงานไว้มากมาย รวมทั้งบ้านใหม่ของผม
สิ่งที่แสดงให้เห็นความสามารถของสถาปนิกและแบบบ้านที่ทันสมัยนั้นมีหลายเรื่อง ได้แก่ ดาดฟ้าคอนกรีต คานช่วงกว้างกว่าธรรมดาทำให้ไม่มีเสาอยู่กลางร้านค้า จึงเอื้อต่อการ
ทำมาค้าขาย มีการติดตั้งปั้มน้ำเพื่อสูบน้ำบาดาลขึ้นไปเก็บบนถังน้ำปูนบนดาดฟ้า น้ำบ้านผมจึงไหลแรงและมีปริมาณพอเหมาะกับห้องน้ำขนาดใหญ่ที่มีมากถึงสามห้อง (บ้านใหม่ของผม
จึงคล้ายกับที่เขาชอบโฆษณาในนิตยสาร บ้านสามชั้นสามห้องน้ำ (ฮา))
แต่ที่น่าจะล้ำสมัยมากในเวลานั้น คงจะเป็นช่องโล่งจากชั้นล่างไปจนถึงดาดฟ้า ทำให้ภายในบ้านสว่าง ทั้งๆที่ผนังด้านข้างเป็นกำแพงทึบหมด (เพราะปลูกชิดเขตเลยมีหน้าต่างไม่ได้)
อีกทั้งมีลมเย็นทั่วบ้าน ซึ่งเรื่องนี้ผมมาเรียนรู้ที่มหาวิทยาลัยอีกหลายปีต่อมา ว่าเป็นวิธีการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน โดยวิธีระบายอากาศ
และรับแสงสว่างธรรมชาติ จึง ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าหรือพลังงาน ไม่อยากโอ้อวดว่า บ้านใหม่ของผมน่าจะเป็นบ้านประหยัดพลังงาน บ้านฉลากเขียว หรือบ้านอีโค หลังแรกของเชียงใหม่ (ฮา)
กลายเป็นว่า ผมได้เรียนรู้วิธีออกแบบบ้านประหยัดงานจากประสบการณ์จริง
และก่อนกระแสการประหยัดพลังงานที่พูดถึงในปัจจุบัน จึงไม่ค่อยตื่นเต้นเรื่องพลังงาน
เหมือนนักเรียนนอกทั่วไป และไม่อยากไปอบรมเป็นสถาปนิกหลีด LEED ในต่างประเทศ
เหมือนสถาปนิกคนอื่น (ฮา)
ผู้เขียน : ปริญญา ตรีน้อยใส
นามปากกาของ ศ.ดร.บัณฑิต จุลาสัย
เจ้าของหนังสือด้านสถาปัตยกรรม ถูกยกย่องจาก Dictionnaire de L'Architecture du XXe Siecle, Editions Hazan, Paris 1996
เป็น 1 ใน 3 สถาปนิกไทยประจำคริสต์ศตวรรษที่ 20