เรื่องร้อนที่คนทั้งโลกต้องลุ้นระทึกกันในเวลานี้ก็คือ สงครามในซีเรียที่ปะทุขึ้นมาอีกรอบเมื่อสหรัฐและชาติพันธมิตร ได้แก่ อังกฤษ และฝรั่งเศส ตัดสินใช้ขีปนาวุธยิงถล่มพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่คาดว่าจะเป็นคลังอาวุธเคมีหรือโรงงานผลิตอาวุธเคมีที่ใช้สังหารประชาชนชาวซีเรียไปเมื่อไม่นานมานี้
ทั้งนี้สหรัฐและชาติพันธมิตรกล่าวหาว่ารัสเซียซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุนรัฐบาลซีเรียอยู่เบื้องหลังการใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชนในครั้งนี้ ขณะที่รัสเซียเองก็แสดงท่าทีแข็งกร้าวกับข้อกล่าวหา และพร้อมที่จะตอบโต้ หากชาติพันธมิตรยังคงโจมตีซีเรียต่อไป
หลายฝ่ายจึงกังวลกันว่า สงครามตัวแทนในซีเรียจะยืดเยื้อและรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ เพราะผู้อยู่เบื้องหลังไฟสงครามล้วนแล้วแต่เป็นชาติมหาอำนาจในแต่ละขั้วไม่ว่าจะเป็น สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย อิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย
แล้วผลของสงครามที่คุกรุ่นครั้งนี้จะเกี่ยวอะไรกับตลาดอสังหาริมทรัพย์และการซื้อ-ขายบ้านของประชาชนคนไทย คำตอบก็คือแม้สงครามจะอยู่ห่างไกลซึ่งคงจะไม่มีผลกระทบโดยตรง แต่จะมีผลกระทบทางอ้อมและผลกระทบที่สำคัญก็คือ ผลกระทบต่อใจ นั่นก็คือความเชื่อมั่นของนักลงทุน และคนทั่วๆ ไปนั่นเอง
ดูได้จากตลาดหุ้นนับจากวันที่ชาติพันธมิตรเปิดฉากถล่มซีเรียในวันที่ 14 เม.ย. ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ตลาดหุ้นไทยปิดทำการ พอเปิดทำการวันแรกราคาหุ้นในตลาดก็ดำดิ่งอยู่ในแดนลบเกือบตลอดทั้งวัน และปิดตลาดติดลบไป 11.64 จุด ซึ่งคงต้องดูว่า หลังจากตลาดรับรู้ข่าวซีเรียไปเรียบร้อยแล้ว ดัชนีจะเคลื่อนไหวในวันต่อๆ ไปในทิศทางใด
“สงครามในซีเรียในแง่เศรษฐกิจ อาจจะมีผลต่อตลาดหลักทรัพย์ที่จะเกิดความผันผวนจากความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน และเมื่อตลาดหลักทรัพย์มีปัญหาทุกครั้งก็จะมีผลกระทบมายังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนก็เป็นผู้ซื้อในตลาดอสังหาฯด้วย” อธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรให้ความเห็น
ที่สำคัญคือ ผลทางด้านจิตวิทยาที่กังวลว่าสงครามจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนหรือผู้ที่จะซื้อบ้านชะลอการตัดสินใจออกไป ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ในช่วงสั้นๆ แต่สำหรับการลงทุนพัฒนาโครงการก็คงจะต้องเดินหน้าต่อ เพราะหยุดไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในธุรกิจ ยังคงมองโลกในแง่ดีโดยเชื่อว่าเหตุการณ์ในซีเรียไม่น่าจะยืดเยื้อ เพราะแต่ละฝ่ายยังอยู่ในสภาพอ่อนแอทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ รัสเซีย และ 2 ประเทศในยุโรป อย่างอังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งแต่ละประเทศเศรษฐกิจอยู่ในภาวะที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว การเปิดศึก ทำสงครามย่อมต้องใช้เงินใช้ทองเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน ประชาชนในแต่ละประเทศส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการทำสงคราม จึงจะโดนต่อต้านขึ้นภายใน
นอกจากนี้ การถล่มซีเรีย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นการกลบปัญหาเชิงนโยบายของผู้นำชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐ อันเนื่องจากการเปิดสงครามการค้ากับจีนที่อาจจะส่งผลกระทบต่อหลายธุรกิจของอเมริกันที่ตั้งฐานผลิตอยู่ในจีน จึงพยายามกลบเกลื่อนเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อหาทางถอยในเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ก็เป็นอีกปัญหาที่ต้องจับตา หากหาข้อยุติไม่ได้ และทวีความรุนแรงขึ้น ไทยในฐานะอยู่ในห่วงโซ่การผลิตของจีนก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย
ที่สุดแล้ว ปฏิบัติการถล่มซีเรีย และสงครามการค้าสหรัฐ-จีน จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับความยืดเยื้อ และระดับความรุนแรงของสถานการณ์ว่าจะเดินไปถึงจุดไหน ถ้าจบได้เร็วคงจะมีกระทบทางจิตวิทยาในช่วงสั้น แต่ถ้ายืดเยื้อผลกระทบก็จะขยายวงกว้างขึ้น
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อเกินเดือนมิ.ย.ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้ทางการต้องตัดสินใจชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไปอีกก็เป็นไปได้
Baania มี Line แล้วนะ
ติดตามเรื่องราวอสังหาริมทรัพย์แบบอินเทรนด์ ได้ทุกวันผ่าน Line ID @baania