การตัดสินใจซื้อขายสินทรัพย์ประเภทอสังหาริมทรัพย์อย่าง “บ้าน” “คอนโด” และ “ที่ดิน” นั้นใช้เวลามากกว่าที่คิดเสมอ เพราะไม่เพียงแต่จะมูลค่าที่สูงเท่านั้น แต่สินทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยเองมักมาพร้อมกับการแข่งขันที่สูงมากจนทำให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเองก็ต้องมีเรื่องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนมากมาย อีกทั้งการทำธุรกรรมซื้อขายยังมีหลายขั้นตอน และใช้เวลาที่ค่อนข้างนานอีกเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อวันใดวันหนึ่งมีการตัดสินใจซื้อขายที่แน่นอนเกิดขึ้น การสัญญาปากเปล่าก็อาจจะยังไม่สามารถยืนยันการซื้อขายได้ตามกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ การทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายขึ้นมาจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วสัญญาจะซื้อจะขายคืออะไร มีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน และสัญญาจะซื้อจะขายมีข้อควรระวังอย่างไร วันนี้ Baania จะมาสรุปทุกเรื่องที่ควรรู้ให้ฟัง พร้อมแชร์ตัวอย่างการเขียนสัญญาจะซื้อจะขายให้ทุกคนนำไปใช้ได้ฟรีอีกด้วย
หากมีองค์ประกอบครบถ้วนทั้งหมด สัญญาจะซื้อจะขายที่เขียนขึ้นมาเองก็สมบูรณ์มีผลในทางกฎหมายทันที
เป็นชื่อและนามสกุลของคู่สัญญาในแต่ละฝ่าย แต่สิ่งที่สำคัญในเรื่องของชื่อคู่สัญญา คือ ชื่อเจ้าของในฝั่งของผู้ขาย เพราะในบางกรณี อสังหาริมทรัพย์ที่เราต้องการซื้ออาจจะมีชื่อผู้ครอบครองหลายคน อย่างเช่น โฉนดที่ดินในฝั่งผู้ขายอาจจะมีชื่อคนในครอบครองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ด้วย ดังนั้น การทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต้องใส่ชื่อผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในให้ครบถ้วนทุกคน การลงชื่อในสัญญาจะซื้อจะขาย คือ เรื่องสำคัญมากที่สุดลำดับแรก เพราะจะใช้เป็นหลักฐานในการบังคับคดีหากมีการฟ้องร้องกันเกิดขึ้น โดยคู่สัญญาและพยานต้องใช้การเขียนเท่านั้น ไม่สามารถใช้การพิมพ์ หรือตราประทับได้
ราคาในการซื้อขาย หมายถึง ราคาที่คู่สัญญาทั้งสองฝั่งได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ซึ่งราคานั้นสามารถระบุได้หลากหลายรูปแบบ เช่น
ถือว่าเป็นใจความสำคัญที่สุดของสัญญาจะซื้อจะขาย ถ้าในสัญญาไม่มีกำหนดเวลา หรือกำหนดเงื่อนไขในการโอนกรรมสิทธิ์ สัญญาก็จะไม่สมบูรณ์ และมีสิทธิ์โดนโกงได้ โดยการกำหนดเวลาในการโอนกรรมสิทธิ์นั้นสามารถทำได้หลายวิธี อย่างเช่น
ที่อาจจะระบุไว้ว่า หากผิดสัญญาจะยินยอมให้อีกฝ่ายฟ้องร้องตามกฎหมาย ถึงแม้ว่าสัญญาจะซื้อจะขายเมื่อทำสัญญาเสร็จสิ้นจะมีกฎหมายคุ้มครองอยู่แล้ว แต่สามารถใส่ข้อความรับผิดหากผิดสัญญาเพิ่มเข้ามาเพื่อความมั่นใจได้