ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในหัวเมืองจังหวัดท่องเที่ยว เริ่มเข้าสู่บรรยากาศที่คึกคักอีกครั้งด้วยความเคลื่อนไหวในการลงทุนและกิจกรรมการตลาดรับช่วงฤดูร้อนอันเสมือนเป็นไฮซีซั่นของอสังหาฯเมืองท่องเที่ยว โดยเฉพาะเมืองชายทะเล ส่วนภาพในระยะยาวทั้งการลงทุนด้านสาธารณูปโภคภาครัฐในโครงการต่างๆ จะช่วยให้การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศสะดวกขึ้น ประกอบกับ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ถือเป็นสัญญาณที่ดีของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หัวเมืองท่องเที่ยวต่างๆ
"การท่องเที่ยวของไทยช่วงนี้ถือว่าดีมากในทุกจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มจำนวนขึ้น ประกอบกับการพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ ที่จะทำให้การเดินทางท่องเที่ยวมีความสะดวกส่งผลดีต่อการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดต่างๆ" นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็น
สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในทำเลชะอำ-หัวหิน มีการเติบโตที่ดีขึ้นหลังจากชะลอตัวในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และนับจากนี้จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง สังเกตได้จากเร็วๆ นี้จะมีการเปิดโครงการใหม่ในพื้นที่หัวหิน 4 โครงการ ของกลุ่มแสนสิริ เมเจอร์ดีเวลลปเม้นท์ กลุ่มดุสิตธานี และผู้ประกอบการท้องถิ่น ขณะที่ในปัจจุบันราคาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ชะอำ-หัวหินมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 5-10%
ทั้งนี้ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากการที่ภาครัฐมีแผนพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น การสร้างทางด่วนยกระดับพระราม 2 กรุงเทพฯ-ราชบุรี และทางด่วนใหม่เชื่อมพระราม 3-วงแหวน รวมถึงรถไฟฟ้าความเร็ว ส่งผลให้การเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และยังส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจการค้าให้เติบโตตามไปด้วย
ชาญอิสสระเพิ่ม2พันล.ลงทุนหัวหิน
ด้านนายดิฐวัฒน์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน กลุ่มชาญอิสสระอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ อาณาจักรทิวทะเลเอสเตท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ภายใต้บริษัท ร่วมอิสระ จำกัด พัฒนาที่ดินจำนวน 110 ไร่ บริเวณชะอำ-หัวหิน เป็นโครงการมิกซ์ยูส ไปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาโดยปัจจุบันมีโครงการรวม 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการบ้านทิวทะเล อความารีน มียอดขายแล้วกว่า 97% โครงการบ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ มียอดขายแล้ว 75% โครงการบลู มียอดขายแล้วกว่า 50%
นอกจากนี้ยังมีโครงการที่เพิ่งเปิดดำเนินการไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา คือ โครงการ Baba Beach Club Hotel & Residences Hua hin ปัจจุบันมียอดขายในส่วนของที่พักอาศัยไปแล้วกว่า 70% และยังมี "บ้านโชค" ซึ่งเป็นบ้านพักตากอากาศเก่าแก่ของตระกูลโชควัฒนา ในสไตล์หัวหินโคโลเนียล ได้นำมารีโนเวทใหม่ เป็นทั้งสถานที่ตากอากาศ ร้านอาหาร คาเฟ่ ห้องประชุม สถานที่จัดเลี้ยง งานแต่ง และพื้นที่จัดกิจกรรมริมทะเล ทั้งหมดใช้เนื้อที่ไปแล้ว 50 ไร่ มีมูลค่าโครงการรวม 7,200 ล้านบาท
"โครงการที่เปิดไปทั้งหมดอยู่ในเฟสแรกของมาสเตอร์แพลน ส่วนเฟสที่ 2 กำลังจะเริ่มดำเนินการโดยใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 2,000 ล้านบาท จะมีการพัฒนารีสอร์ท และในส่วนของโรงแรมบาบาบีช คลับ หัวหิน มีแผนพัฒนาห้องพักเพิ่มอีก 49 ห้อง พร้อมพัฒนาพื้นที่รองรับการจัดประชุม สัมมนา นอกจากนี้ยังมีแผนจะพัฒนาเอาต์ดอร์ แอคทิวิตี้ แอเรีย เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนของครอบครัว รวมถึงการสร้างปั๊มน้ำมันที่ไม่เหมือนปั๊มน้ำมันสำหรับเป็นจุดแวะพักในพื้นที่ด้านหน้าโครงการอีกด้วย โดยคาดว่าโครงการอาณาจักรทิวทะเลเอสเตทจะใช้เวลาในการพัฒนาโครงการอีก 5-6 ปี" นายดิฐวัฒน์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนการขายและการตลาดของโครงการทิวทะเลเอสเตท โดยจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขาย ล่าสุดในวันที่ 7 เม.ย.นี้ ได้เตรียมจัดงาน ”Thew Talay Estate Beat of Life @ Baba Beach Club Hotel & Residences Hua Hin” พร้อมกับข้อเสนอราคาพิเศษ นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา "ความทรงจำดีดี...สู่ทิวทะเลเอสเตท" ที่ได้ออนแอร์ไปแล้วผ่านทางออนไลน์เฟสบุคทิวทะเลเอสเตท
แสนสิริรีเทิร์นคอนโดเมืองท่องเที่ยว
ก่อนหน้านี้ บริษัท แสนสิริ ประกาศแผนลงทุนปี 2561 โดยจะเริ่มกลับไปพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในต่างจังหวัดหลังจากชะลอการลงทุนในสักระยะ เนื่องจากแผนการลงทุนโครงการขนส่งระบบรางในภูมิภาคเริ่มเดินหน้าต่อ โดยมีแผนจะเปิดโครงการในจังหวัดใหญ่ 5 จังหวัดรวม 5 โครงการ ได้แก่ เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์(หัวหิน) ชลบุรี(พัทยา) ภูเก็ต และสงขลา(หาดใหญ่) ประเดิมโครงการแรกที่หัวหิน ภายใต้แบรนด์ ลา คาซิต้าที่จะเปิดตัวในปลายเดือนมี.ค.นี้
ล่าสุด บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของแสนสิริได้เปิดเผยงานวิจัย นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า จากการสำรวจ พบว่า อสังหาริมทรัพย์ในทำเลเมืองท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตดี โดยเฉพาะเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เช่นในพื้นที่พัทยาและหัวหิน เนื่องจากภาครัฐได้พัฒนาระบบคมนาคมเชื่อมการเดินทางทั้งการลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินสู่ภาคตะวันออก ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หัวหิน และโครงการทางพิเศษสายพระราม3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก
นอกจากนี้ ยังมีการเชื่อมโยงเมืองท่องเที่ยว 2 ฝั่งอ่าวไทยเข้าด้วยกันโดยได้เปิดบริการเรือเฟอร์รี่จากหัวหิน-พัทยา ตั้งแต่ต้นปี 2560 สามารถลดระยะเวลาการเดินทางจาก 5-6 ชั่วโมงทางรถยนต์ ให้เหลือเพียง 1 ชั่วโมง 40 นาทีเท่านั้น ซึ่งในอนาคตจะมีการขยายการเชื่อมโยงมายังท่าเรือกรุงเทพฯ นับเป็นการกระตุ้นทั้งด้านการท่องเที่ยวและดึงดูดการลงทุนไปในตัว น่าจะทำให้นักท่องเที่ยวกระจายตัวมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอุปสงค์ด้านการท่องเที่ยวและความต้องการบ้านพักหลังที่ 2 เพิ่มมากขึ้น
ลงทุนรัฐพลิกฟื้นอสังหาฯพัทยา-หัวหิน
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ของพัทยาและหัวหินปัจจุบันพบว่าเติบโตขึ้นอย่างน่าสนใจ โดยในส่วนของพัทยา ปี 2560 พบอุปทานเสนอขายคอนโดมิเนียมถึง 55,641 ยูนิต ได้รับการตอบรับแล้วสูงถึง 85% เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จึงเหลือยูนิตคงค้างเพียง 8,496 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะขายหมดในเวลา 15 เดือน โดยราคาเฉลี่ยที่เสนอขายในทุกโซนพัทยาอยู่ที่ 95,000 – 100,000 บาทต่อตารางเมตร และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบว่าราคาเสนอขายเติบโตสูงถึง 28% ซึ่งคาดว่าหากมีโครงการใหม่ราคาจะเติบโตไปได้ถึง 100,000 – 150,000 บาท
ด้านอุปสงค์พบว่า โครงการที่มีราคาเสนอขายมากกว่า 120,000 บาทต่อตารางเมตร มีอุปสงค์ขยายตัวสูงขึ้นทุกปี จากปี 2556-2560 โดยสูงขึ้นถึง 159% ซึ่งคาดว่าราคาเสนอขายยังจะเติบโตขึ้นได้อีก โดยเฉพาะพื้นที่แถวพัทยากลางที่เหลือพื้นที่พัฒนาโครงการน้อยและยังเป็นแหล่งรวมสีสันของเมืองพัทยาและมีราคาที่ดินสูงถึงตารางวาละ 400,000 บาท จึงเป็นไปได้ว่าในอนาคตทำเลนี้จะกลายเป็นทำเลทอง ไม่เพียงเท่านี้ผลตอบแทนจากการขายต่อในแต่ละปีมีการเติบโตสูงราว 21-36% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
สำหรับตลาดปล่อยเช่ายังเติบโตดี ห้องชุดปล่อยเช่าให้ต่างชาติมีราคาเฉลี่ย 600-700 บาทต่อตารางเมตร โครงการแนวสูงจะได้รับความนิยม ผลตอบแทนการเช่าเฉลี่ย 4-5% ต่อปี โดยผู้เช่ายังทำสัญญาเช่าระยะยาวต่อเนื่อง ซึ่งอย่างน้อยนิยมเข้าพักราว 2-3 เดือนต่อครั้ง ในปี 2560 จำนวนผู้เช่าเติบโตขึ้นถึง 54% ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่พัทยาเติบโตมาจากการท่องเที่ยวเป็นตัวผลักดันที่สำคัญ ข้อมูลจากเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมามีปริมาณนักท่องเที่ยวในชลบุรีกว่า 15 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อน รายได้จากการท่องเที่ยวเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ย 17% หรืออยู่ที่กว่า 2 แสนล้านบาท พื้นที่พัทยาจึงเป็นอีกทำเลที่น่าลงทุน
ขณะที่ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ทำเลหัวหินล่าสุดพบว่า อุปทานเสนอขายคอนโดมิเนียมในพื้นที่หัวหินและชะอำอยู่ที่ 11,641 ยูนิต มียอดตอบรับแล้ว 78% โดยในพื้นที่หัวหิน ราคาเสนอขายเฉลี่ยประมาณ 90,000 บาทต่อตารางเมตร แต่หากเป็นโซนใกล้ทะเล ราคาเสนอขายจะอยู่ในช่วง 91,000 – 96,000 บาทต่อตารางเมตร โดยพบราคาเสนอขายโครงการสูงถึง 140,000 บาทต่อตารางเมตร ในโครงการเลียบชายหาด
ทั้งนี้ในพื้นที่ศักยภาพอย่างโซนตัวเมืองหัวหินและโซนใกล้ทะเล รวมถึงโซนเขาตะเกียบ ปัจจุบันพบอุปทานอยู่ที่ 4,274 ยูนิต มียอดตอบรับแล้ว 77% ทำให้ปัจจุบันเหลือยูนิตคงค้างเพียง 967 ยูนิตเท่านั้น โดยราคาเฉลี่ยของโซนนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 15% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับพื้นที่หัวหินในภาพรวม ตลาด Resale ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา พบว่าราคาเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ผลตอบแทนการขายต่อสูงถึงราว 59% ส่วนการปล่อยเช่าก็ยังสร้างผลตอบแทนสูงราว 4-5% ต่อปี และมีผู้สนใจเข้าพักอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาวที่ต่างชาตินิยมมาพักอาศัยเฉลี่ยครั้งละ 1.5 – 3 เดือน และคนไทยที่ทำงานในหัวหินนิยมทำสัญญาเช่าระยะยาว อัตราการพักอาศัยสูงถึง 86% ซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี
“การลงทุนในอสังหาฯ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ในพัทยาและหัวหินนับว่ามีแนวโน้มดีและน่าจับตามองมากขึ้น เพราะเป็นทำเลที่มีโอกาสเติบโตอย่างน่าสนใจจากการเชื่อมโยงเมืองหลวงกับเมืองท่องเที่ยวฝั่งอ่าวไทย ตลอดจนเชื่อมเมืองท่องเที่ยวสำคัญในฝั่งอ่าวไทยเข้าด้วยกัน น่าจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวไหลเวียนระหว่างกันได้มากขึ้น คาดว่าจะทำให้เกิดความต้องการซื้อมากขึ้น ทั้งซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 และซื้อเพื่อการลงทุน เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงในอนาคต ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้การลงทุนในตลาดคอนโดคึกคักมากขึ้น” นายอนุกูล กล่าว