ฤดูร้อนกำลังมา และดูท่าทางพัดลมธรรมดาจะเอาไม่อยู่ นาทีต้องให้เครื่องปรับอากาศหรือแอร์ช่วย แต่แอร์ขนาดเท่าไรถึงเหมาะสมกับขนาดห้องของเรากับแน่ Baania นำเทคนิคการเลือกแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดห้องมาแนะนำกัน ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าเราจะต้องติดแอร์กี่ BTU เผื่อใครจะทำไปปรับใช้ จะได้ไม่เปลืองค่าไฟ และไม่เปลืองค่าซื้อแอร์ที่ขนาดใหญ่เกินไป
บีทียู (BTU) ของแอร์นั้น คือ British Thermal Unit เป็นหน่วยที่ใช้ปริมาณความร้อนในเครื่องเย็นและเครื่องปรับอากาศ โดยปกติแล้วความร้อน 1 BTU จะหมายถึงปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำ 1 ปอนด์ (0.45 กิโลกรัม) มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นหรือลดลง 1 องศาฟาเรนไฮด์ (0.56 องศาเซลเซียส) ซึ่งเครื่องปรับอากาศนั้นจะวัดกำลังความเย็นหรือความสามารถในการถ่ายเทความร้อนออกจากห้องในหน่วยบีทียูต่อชั่วโมง (BTU/hr)
ถ้าหากเราเลือก BTU สูงมากเกินไป คอมเพรสเซอร์แอร์จะทำงานตัดบ่อยเกินไป ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ความชื้นในห้องก็จะสูงขึ้น ทำให้ไม่สบายตัวได้ ที่สำคัญจะทำให้เราเสียเงินซื้อแอร์ที่ขนาดใหญ่เกินในราคาแพง และเปลืองค่าไฟ
ถ้าหากเราเลือก BTU ที่ต่ำเกินไป จะทำให้คอมเพรสเซอร์จะทำงานตลอดเวลา ความเย็นในห้องจะไม่ได้ตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ ส่งผลให้เปลืองไฟและอาจทำให้แอร์เสียง่าย
สูตรในการคำนวร BTU นั้นจะเกิดจากการหาขนาดห้องในแบบกว้างคูรยาวในหน่วยวัดเป็นเมตร และนำมาคูณกับตัวแปรหรือความแตกต่าง เช่น หน้าต่างและมุมต่างของห้อง, ทิศทางของแดดที่เข้าห้อง, วัสดุหลังคามีฉนวนกันความร้อน, จำนวนคนในห้องนั้นๆ โดยมีสูตรคำนวณดังนี้ครับ
BTU = พื้นที่ห้อง ( กว้าง x ยาว ) x ความแตกต่าง
ความแตกต่างจะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. 600 - 700 = ห้องปกติ มักใช้แอร์เฉพาะกลางคืน
2. 700 - 800 = ห้องที่แดดเข้า มักใช้แอร์ในเวลากลางวันและกลางคืนด้วย
เรามาดู BTU แอร์กับขนาดห้องแบบคร่าวๆ กันครับว่าขนาดห้องของเรา ควรใช้แอร์กี่ BTU กันแน่
คงได้คำตอบกันแล้วว่าต้องติดแอร์กี่ BTU ถึงเหมาะกับห้องเรา ใครที่กำลังจะไปซื้อแอร์มาติดในช่วงหน้าร้อนที่กำลังจะมาถึงนี้ อย่าลืมคำนวณขนาดห้องกับ BTU แอร์ให้ดีก่อนนะครับจะได้เสียเงินได้อย่างคุ้มค่าสบายทั้งกายและใจ