เทสลา จะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของบ้าน ด้วยแผ่นหลังคาโซล่าเซลล์
แนวคิดและสิ่งประดิษฐ์ด้านพลังงานทางเลือกเป็นสิ่งที่ทั่วโลกกำลังเฝ้าจับตามองอยู่ในปัจจุบัน โดยล่าสุดยักษ์ใหญ่ด้านนวัตกรรมไฟฟ้าอย่าง เทสลา เปิดตัวแผ่นหลังคาโซล่าเซลล์ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สั่นสะเทือนวงการครั้งใหญ่ด้วยคุณสมบัติ ราคา และอายุการรับประกัน
ประวัติหลังคาโซล่าเซลล์จากเทสลา
เดิมทีแผ่นหลังคาพลังแสงอาทิตย์ของ เทสลา ได้รับการคาดหมายว่าจะเปิดตัวราคาที่ต่ำกว่า 24.50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตารางฟุต และเมื่อคำนวณกับค่าพลังงานที่ประหยัดไปได้แล้ว แผ่นปูหลังคาเหล่านี้จะถูกกว่ากระเบื้องทั่วไปในแง่ของความคุ้มค่า ซึ่งแค่นี้ก็เป็นที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการใช้พลังงานสะอาด
แต่นาย อีลอน มัสก์ ซีอีโอของบริษัท เทสลา เล่นใหญ่กว่านั้น โดยประกาศผ่าน ทวิตเตอร์ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า เทสลาจะจำหน่ายหลังคาแสงอาทิตย์ในราคาราว 21.85 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตารางฟุตเท่านั้น ซึ่งถูกกว่ากระเบื้องธรรมดาเสียอีก โดยมัสก์ชี้ว่า ผลิตภัณฑ์ใหม่ชิ้นนี้จะมีความสวยงามกว่า คงทนกว่า และถูกกว่า ในขณะที่ไฟฟ้าที่ผลิตได้นั้น “เป็นเพียงของแถม”
เบื้องต้น เทสลา จะนำร่องด้วยการวางจำหน่าย แผ่นหลังคา 2 แบบแรกคือ กระจกสีดำแผ่นเรียบ และ แบบมีลวดลาย ในเร็วๆ นี้ โดยคาดว่าแผ่นลอนสีแดงและแบบลายหิน จะวางจำหน่ายตามมาในต้นปี 2018 แผ่นหลังคาทุกแบบจะมี 3 ชั้น คือ แผงโซล่าเซลล์ แผ่นฟิล์มป้องกันโซล่าเซลล์ และกระจกนิรภัยที่แข็งแรงสุดๆ มากกว่ากระเบื้องธรรมดาถึง 3 เท่า แต่ทั้งนี้พวกมันกลับมีน้ำหนักเบากว่าแผ่นหลังคาปัจจุบันถึง 5 เท่า ซึ่งจะเปลี่ยนให้การขนส่งเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก
และด้วยความแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อนี่เอง ทำให้ เทสลา กล้ากำหนดขอบเขตการรับประกันให้กับแผ่นหลังคาของพวกเขาอยู่ที่ ตราบชั่วอายุการใช้งานของบ้าน หรือตลอดกาล (แล้วแต่ว่าอะไรมาถึงก่อน) แน่นอนว่า การรับประกันแบบชั่วฟ้าดินสลายแบบนี้ย่อมเป็นจุดขายที่ทำให้ผู้คนให้ความเชื่อมั่นอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ผู้ที่ต้องการจะใช้นวัตกรรมดังกล่าวต้องตระหนักไว้ก่อนว่า หลังคาของพวกเขาจะไม่ได้ปูด้วยแผ่นโซล่าเซลล์แบบนี้ทุกแผ่น และต้องติดตั้ง พาวเวอร์วอล โฮม แบตเตอรี่ ซึ่งจะเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นไฟฟ้าในบ้านพร้อมกันด้วย
คุณสมบัติและราคาน่าสนใจขนาดนี้ เชื่อว่าหลังคาโซล่าเซลล์ของเทสลา จะเป็นกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าจับตามองอย่างแน่นอน ซึ่งจะว่ากันไปแล้วนวัตกรรมที่เกี่ยวกับแสงแดดแบบนี้น่าจะนำมาใช้ในเมืองไทยของเราจริงๆ เพราะทรัพยากรแดดของเรามีเยอะเหลือเกิน
ที่มา
บทความที่เกี่ยวข้อง