วิธีการฉาบปูนไม่ให้แตกร้าว ต้องทำอย่างไร
การฉาบปูนหรือการตกแต่งซ่อมแซมผนัง ถือได้ว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างมากเพราะต้องฉาบให้ผิวผนังราบเรียบ หากเป็นงานซ่อมก็ต้องมั่นใจว่าเมื่อฉาบปูนไปแล้วมีความเรียบเนียนเสมอกัน และสามารถปกปิดรอยได้อย่างแนบเนียน จริง ๆ ๆแล้ววิธีการฉาบปูนไม่ได้ยากอย่างที่คิดหากเข้าใจเทคนิคการฉาบและการผสมปูนให้ลงตัว วันนี้ Baania จึงได้รวบรวมเคล็ดไม่ลับที่เจ้าของบ้าน หรือใครก็ตามสามารถทำได้ด้วยตนเอง ต้องเริ่มจากขั้นตอนและวิธีการต่าง ๆ ดังนี้
วิธีการผสมปูน
หากต้องการเนื้อปูนที่สามารถนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรเรียนรู้ส่วนผสมและวิธีผสมปูนที่ถูกต้อง ดังนี้
- เริ่มจากการผสมปูนจะมีส่วนผสมของปูนซีเมนต์ ทราย และน้ำ โดยอีกส่วนผสมที่จะช่วยให้ง่ายต่อการฉาบและเนื้อปูนมีลักษณะเหลวนั่นก็คือ ปูนขาว ซึ่งผู้ใช้สามารถใช้ผสมได้ตามต้องการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ควรใส่เยอะจนเกินไป เพราะเนื้อปูนจะเหลวไม่จับตัวกัน
- เมื่อฉาบปูนไปเเล้วอาจจะทำให้เกิดรอยแตกร้าวได้ โดยอัตราส่วนที่ควรใช้คือ ปูนซีเมนต์:ปูนขาว:ทราย ในอัตราส่วน 1:1:3 และน้ำในปริมาณที่พอเหมาะสำหรับการฉาบครั้งแรก ในครั้งที่สองและสาม จะใช้อัตราส่วน 1:2:6 และ 1:1:6 กับปริมาณน้ำที่เหมาะสม
วิธีการฉาบปูนผนังเก่า
การฉาบปูนทับผนังเก่าเป็นสิ่งที่ช่างหลายท่านค่อนข้างหลีกเลี่ยง เพราะขึ้นชื่อว่า “เก่า” อาจจะตามมาด้วยปัญหามากมายตามอายุการใช้งาน ทั้งการแตกร้าว ผุกร่อน หรือหลุดร่อน แต่มีข้อดีตรงที่ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าการทุบรื้อ และก่อผนังใหม่ ซึ่งขั้นตอนก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้
- เริ่มจากการทาน้ำยาประสานคอนกรีต หรือน้ำยารองพื้นปูนเก่า ทาให้ทั่วผนังและทิ้งไว้ให้แห้ง
- เมื่อน้ำยาซึมเข้าไปแล้วจะเป็นตัวเชื่อมที่ดีสำหรับปูนที่ฉาบลงไปกับผนังและช่วยให้ยึดเกาะได้ดีกว่าเดิม และเพื่อเพิ่มการยึดเกาะที่ดีกว่าเดิมสามารถตีลวดกรงไก่ทับเสริมไปได้ เพียงเท่านี้ก็จะเปลี่ยนผนังปูนเก่าให้เป็นผนังปูนใหม่ได้ในพริบตา
วิธีการฉาบปูนผนังใหม่
การฉาบปูนผนังใหม่จะมีความง่ายกว่าการฉาบผนังเก่า โดยขั้นตอนจะคล้ายคลึงกับการฉาบปูนที่ผนังปกติทั่วไป
- เริ่มจากต้องดูให้แน่ใจว่าผนังที่จะฉาบปูนสะอาดเรียบร้อยดีแล้ว
- จากนั้นนำน้ำมาพรมที่ผนังเพื่อให้ฉาบปูนติดได้ดีมากขึ้น และนำปูนที่ผสมไว้ในสัดส่วนที่ถูกต้อง ในปริมาณเหมาะสมมาฉาบไว้บนผนัง
- เมื่อฉาบเสร็จเรียบร้อยและปูนแห้งแล้ว สามารถนำกระดาษทรายมาขัดเพื่อทำให้ผนังเรียบเนียนสม่ำเสมอกัน
- ขั้นตอนสำคัญคือการบ่มน้ำ หลายคนมักจะหลงลืมขั้นตอนนี้ไป การบ่มน้ำจะช่วยกันรอยแตกร้าวให้กับผนังที่เพิ่มฉาบปูนมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งวิธีการบ่มก็แสนจะง่ายดาย เพียงพรมน้ำที่ผนังเป็นเวลา 3-7 วัน โดยรดน้ำอย่างน้อยวันละครั้ง เพียงเท่านี้ผนังใหม่ก็ไม่ต้องเสี่ยงมีรอยแตกร้าวในอนาคต และต้องมาทำการซ่อมแซมใหม่อีกครั้งในภายภาคหน้า
วิธีการฉาบปูนสำเร็จรูป
ปูนสำเร็จรูป เป็นที่รู้กันดีว่ามีการชั่งตวงส่วนผสมที่ถูกต้องมาเรียบร้อย จึงสะดวกกว่าการซื้อปูนมาผสมกับส่วนผสมอื่น ๆ เองอย่างแน่นอน โดยสามารถนำมาใช้ในงานก่อ งานฉาบ งานปูกระเบื้อง และอีกมากมาย วิธีการก็แสนจะง่ายดาย
- วิธีการผสมปูนสำเร็จรูป จะมีความเหนียวมากเป็นพิเศษ จึงต้องพึ่งเครื่องผสมปูนฉาบในการกวนปูนให้เข้ากัน
- ในส่วนการฉาบ ควรมั่นใจว่าผนังปูนสะอาด จากนั้นราดน้ำให้ชุ่มก่อนจะฉาบปูนชั้นแรกลงไป และค่อย ๆ ฉาบปูนชั้นที่สองต่อมา แต่ควรระวังไว้ไม่ให้หนามากจนเกินไป และหมั่นพรมน้ำตลอดเพื่อกันรอยแตกร้าว เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ
อันที่จริงแล้ว ขั้นตอนการฉาบปูนสำเร็จนั้นง่ายไม่ยุ่งยาก เพียงนำน้ำมาผสมกับปูนสำเร็จรูปก็สามารถนำไปใช้งานได้แล้ว แม้จะมีราคาค่อนข้างสูง แต่เมื่อเปรียบเทียบโดยรวมแล้ว ถือว่าคุ้มค่าแก่การลงทุนมาก ๆ แถมงานเสร็จเร็วกว่าการใช้ปูนฉาบแบบผสมเอง
วิธีการฉาบปูนขัดมัน
การฉาบปูนแบบขัดมัน คือการสร้างสรรค์ผนังบ้านสไตล์ลอฟท์ที่หลายท่านน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยวิธีก็ไม่ยากอะไร มีขั้นตอนง่าย ๆ เพียง
- เช็คว่าผนังความสะอาดเรียบร้อยแล้ว จากนั้นอย่าลืมเติมทินเนอร์หล่อหน้าปูนทุกครั้งที่ก่อนจะทำการฉาบปูนลงบนผนัง ใช้แปรงทาสีมาทาในบริเวณที่ต้องการ และใช้เกรียงฉาบมาขัดมันเพิ่มลวดลายที่สวยงาม
- หลังจากฉาบปูนเสร็จแล้ว รอให้แห้งสนิท และกลับมาฉาบปูนซ้ำอีกสักสามครั้ง
- เมื่อเสร็จขั้นตอนการฉาบแล้ว นำกระดาษทรายมาขัดผนังเพื่อลดความนูน หรือความไม่สม่ำเสมอกันของผนัง เพราะหากไม่ขัดก่อนและไปทำในขั้นตอนต่อไปเลย ผนังจะไม่เรียบสวย และการแก้ไขจะยุ่งยากมากขึ้น ดังนั้นควรใส่ใจกับขั้นตอนนี้ให้มากและใช้เวลาในการขัดให้เรียบเนียน ไม่มีรอยนูนออกมา
- ขั้นตอนสุดท้ายคือการลงครีมปาด โดยใช้ผ้าหรือเครื่องขัดผนังมาช่วย เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ฉาบปูนอย่างไรไม่ให้ปูนแตก
- สิ่งที่สำคัญที่สุดของการฉาบปูนคือ ต้องมั่นใจว่าผนังสะอาดมากพอ และมีการพรมน้ำก่อนจะฉาบปูนทุกครั้ง แต่ไม่ควรฉาบในขณะที่ผนังเปียกชุ่ม ควรรอให้น้ำเริ่มแห้ง หรือเช็ดให้พอหมาด ๆ ก่อนลงมือฉาบปูนเพราะจะทำให้ปูนไม่ยึดเกาะกับผนังนั่นเอง
- ควรมีการผสมน้ำยาฉาบปูนลงไปเพื่อช่วยให้ลดการแตกร้าวได้ดี แนะนำว่าควรใช้เครื่องผสมปูนฉาบในการผสมส่วนผสมทั้งหมด เพราะจะช่วยให้ได้เนื้อปูนที่ดีกว่า เข้ากันได้ดีมากกว่าการผสมด้วยมือ
- การฉาบปูนไม่ฉาบหนามากจนเกินไป ความหนาควรอยู่ที่ประมาณ 1.5 เซนติเมตร
- เมื่อฉาบปูนเรียบร้อยแล้ว ควรบ่มน้ำเอาไว้เป็นเวลา 3-7 วัน โดยรดน้ำอย่างน้อยวันละครั้ง ตลอดระยะเวลาในการบ่ม ซึ่งการบ่มถือเป็นขั้นตอนที่จำเป็น และควรให้ความสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม เพราะจะช่วยให้ผนังมีความแข็งแรงทนทาน ไม่เกิดการแตกร้าวได้ง่าย
ข้อควรระวังในการฉาบปูน
- ควรระวังไม่ฉาบปูนเร็วและหนาจนเกินไป เพราะงานฉาบ เป็นงานที่ต้องใช้ช่างผู้เชี่ยวชาญ และเป็นงานที่ต้องใช้ความพิถีพิถัน ดังนั้น หากต้องการให้ผนังบ้านสวยงาม แข็งแรงทนทานใช้งานได้ยาวนาน จะต้องให้เวลาและลงรายละเอียดเป็นอย่างมากในขั้นตอนนี้
- วัสดุที่ใช้ควรได้มาตรฐาน ไม่ควรเห็นแก่ของราคาถูกแต่ไร้ซึ่งคุณภาพ ในบางกรณีที่อยากจำกัดงบประมาณ หรือประหยัดต้นทุน แนะนำว่าไม่ควรใช้กับขั้นตอนการซื้อวัสดุฉาบปูน ในตอนแรกอาจดูใช้แทน
- วัสดุที่มีราคาแพง สวยงามได้เหมือนกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปหากเกิดการชำรุด ก็จำเป็นต้องลงทุนซื้อวัสดุใหม่ จ้างช่างมาซ่อมอยู่ดี ควรใช้ส่วนผสมที่ถูกต้องตามหลัก เพื่อลดโอกาสการแตกร้าวและผนังที่เรียบเนียนสวยงาม
หลังจากได้เรียนรู้การฉาบปูนบนผนังใหม่และเก่าควรทำอย่างไร และการฉาบปูนอย่างไรให้ไม่ปูนแตก รวมทั้งชนิดและเทคนิคการฉาบปูนต่าง ๆ ข้อควรระวังมากมาย ทำให้รู้ว่าการฉาบปูนเป็นขั้นตอนที่ดูเหมือนจะง่าย แต่มีความละเอียดอ่อนสูงมาก ควรใช้ช่างที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านทั้งในการใช้วัสดุ และวิธีการฉาบปูนที่ถูกต้อง และถึงแม้ว่าการฉาบปูนจะเป็นขั้นตอนพื้นฐาน แต่หากไม่รู้วิธีการทำและเทคนิคการฉาบปูนที่ถูกต้อง อาจส่งผลกระทบต่อตัวบ้านทั้งหมดได้ เพราะผนังบ้านถือเป็นส่วนที่สำคัญและเรียกได้ว่าเป็นจุดที่แสดงความสวยงามของบ้านอีกอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้
สำหรับใครที่มองว่า วิธีการฉาบปูน เป็นเรื่องยาก ต้องเรียกช่างอย่างเดียวคงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะการฉาบปูนนั้น ไม่ได้มีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อน เพราะหากฉาบปูนหนาไปก็จะเป็นปัญหา บางไปก็แตกร้าวได้ง่าย ดังนั้นควรฉาบในปริมาณที่กำลังพอเหมาะเพื่อความสวยงามของผนังบ้านในระยะยาวนั่นเอง