สิงห์ เอสเตท เข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยฐานทุนที่มั่งคั่งและมั่นคงจากตระกูลภิรมย์ภักดีเจ้าของผลิตภัณฑ์สิงห์ หลังจากเทคโอเวอร์ บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปลี่ยนมาเป็น สิงห์ เอสเตท เมื่อเดือนกันยายน 2557 เวลานั้น สิงห์ เอสเตท มีสินทรัพย์เพียง 11,288 ล้านบาท มีรายได้แค่ 370 ล้านบาท พร้อมกับการเปิดตัวอย่างอลังการด้วยการประกาศแผนลงทุน 5 ปี (2558-2562) ด้วยงบลงทุนสูงถึง 100,000 ล้านบาท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทุกรูปแบบด้วยกลยุทธ์ Mergers and Acquisitions : M&A หรือการควบรวมและการซื้อกิจการ
"แผนทุกอย่างในวันเริ่มต้นของสิงห์ เอสเตท ยังอยู่ในกระดาษจนมาถึงปีนี้ สิงห์ เอสเตท จะมีมูลค่าสินทรัพย์ในมือรวม 60,000 ล้านบาทภายในสิ้นปี หลังจบปี 2560 สิงห์ เอสเตท มีสินทรัพย์รวม 40,910 ล้านบาท มีรายได้รวม 5,858 ล้านบาท โดยในปีนี้จะใช้งบลงทุนประมาณ 20,000 ล้านบาท สำหรับการซื้อกิจการเพิ่มเติม การซื้อที่ดิน และงบสำหรับการก่อสร้างโครงการที่มัลดีฟส์" นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าว
สิงห์ เอสเตท วางเป้าหมายสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในระดับพรีเมียม และมุ่งสู่การเป็น อินเวสเมนท์ โฮลดิ้ง คัมปานี ในปี 2563 ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1. Smart M&A การลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดี มีศักยภาพในการเติบโตอย่างก้าวกระโดดผ่านการลงทุนเพิ่มและการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ (Expansion & Renovation)
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจงสิงห์ เอสเตท (S)
จากจุดเริ่มต้นของกลยุทธ์ M&A ด้วยการร่วมกิจการกับ บริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เพื่อเข้าสู่ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส สิงห์คอมเพล็กซ์ พัฒนาคอนโดมิเนียม The ESSE อโศก The ESSE สุขุมวิท 36 โครงการ บันยันทรี เรสซิเดนซ์ การเข้าสู่อาคารสำนักงาน ซันทาวเวอร์ส การร่วมกับกลุ่มฟิโก้ โฮลดิ้ง เข้าซื้อกิจการโรงแรมแบรนด์ เมอร์เคียว ในสหราชอาณาจักร รวม 26 แห่ง การลงทุนพัฒนาโครงการครอสโรดส์ในมัลดีฟส์ ที่จะเริ่มเปิดตัวในเฟสแรกเดือนประมาณเดือนต.ค.ปีนี้ ซึ่งจะเป็นการเปิดแบรนด์สิงห์ เอสเตทสู่ระดับสากล เป็นต้น
ล่าสุดได้วางแผนลงทุนในกิจการเอาท์ริกเกอร์ โฮเทลส์ ฮาวาย(Outrigger Hotels Hawaii) มูลค่าประมาณ 11,073 ล้านบาท ประกอบด้วย โรงแรมและรีสอร์ทจำนวน 6 โครงการใน 4 ประเทศ ประกอบด้วย โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ ฟิจิ บีช รีสอร์ท, โรงแรมแคสต์อเวย์ ไอส์แลนด์ ในประเทศฟิจิ,โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก็ต บีชรีสอร์ท, โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ เกาะสมุย บีช รีสอร์ท, โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ มอริเชียส บีช รีสอร์ท ประเทศมอริเชียส และโรงแรมเอาท์ริกเกอร์ โคน็อตตา มัลดีฟส์ รีสอร์ท สาธารณรัฐมัลดีฟส์
"สิ่งที่ที่จะทำให้บริษัทเติบโต คือ การท่องเที่ยว ที่จะสามารถสร้างรายได้ในระยะยาว จากการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้นอย่างมาก โดยมีคนเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกถึง 1,322 ล้านคน บริษัทจึงอยากเติบโตไปในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง การลงทุนของบริษัทจึงเน้นไปที่ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว" นายนริศกล่าว
ส่วนโครงการ “ครอสโร้ดส์” ประเทศมัลดีฟส์ มีแผนจะพัฒนาเป็น Tourist Facilities Destination บนพื้นที่ยาว 7 ก.ม. แบ่งเป็น 9 เกาะ ประกอบด้วยโรงแรมและรีสอร์ทที่ตอบโจทย์ทุกๆ ไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยว อาทิ ท่าเทียบเรือยอร์ชสุดหรู, บีช คลับ ระดับลักชัวรี, ร้านค้าไลฟ์สไตล์, ร้านค้าปลอดภาษี, ร้านอาหารชั้นเลิศ และ Cultural Center เพื่อเป็นศูนย์เผยแพร่ความเชื่อมโยงของ 2 วัฒนธรรมและส่งเสริมคุณภาพชีวิตชุมชนผ่านผลงานสินค้าท้องถิ่น โดยจะเปิดเฟสแรกในเดือนต.ค.ปีนี้เป็นทาวน์ชิพ และโรงแรม 2 แห่ง มีมูลค่าโครงการ 11,000 ล้านบาท
2. Strategic Move การสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็น Holding Company เพื่อความพร้อมในการเติบโตในระยะยาว โดยจะนำธุรกิจโรงแรมของบริษัท เอส โฮเตลแอนด์รีสอร์ท (SHR) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยมูลค่าสินทรัพย์มากกว่า 20,000 ล้านบาท ภายในปี 2562 และนำอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์ส เข้ากองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ภายในในปี 2563 และจะตามมาด้วย โครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ และโครงการที่จะซื้อมาเพิ่มอีก 1 แห่ง
3. StrongGrowth คือการสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างรวดเร็วและมั่นคง จากการสร้างพอร์ทโฟลิโอที่มีความสมดุลของธุรกิจอาคารสำนักงานค้าปลีกและโรงแรม ที่สามารถสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income)กับธุรกิจที่พักอาศัยซึ่งเป็นรายได้ไม่ประจำ(Nonrecurring income)ในอัตราส่วน 50:50 โดยในปี 2563 คาดว่า จะมีรายได้รวมประมาณ 20,000 ล้านบาท เป็นรายได้ที่มาจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่จะเป็น Recurring Income ประมาณ 10,000 ล้านบาท และในส่วนธุรกิจโรงแรมและออฟฟิศสำนักงาน Recurring income อีก 10,000 ล้านบาท โรงแรม 37 แห่ง จำนวน 5,000 ห้อง ใน 5 ประเทศ
"สำหรับในปี 2561 บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการพัฒนาที่อยู่อาศัยกว่า 6,000 ล้านบาท คิดเป็น 70% ของรายได้ร่วม ส่วนรายได้จาก Recurring income จะยังมีสัดส่วนประมาณ 30% (ประมาณ 2,500 ล้านบาท) โดยในปีนี้จะมีแผนเปิดโครงการบ้านแนวราบอย่างน้อย 1 โครงการที่ โดยบริษัท และคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ โครงการแรกจะอยู่ที่สุขุมวิท 43 เป็นโลว์ไรส์ คอนโดระดับลักชัวรี่"
กลยุทธ์ที่ 4. Sustainable Development คือ การพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบพร้อมนำแนวคิดการสร้างคุณภาพชีวิต (Life balance) ผ่านการสร้างองค์ความรู้ (Body of knowledge) ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของความสำเร็จอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท (Hospitality) ธุรกิจที่พักอาศัย(Residential) และธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก(Commercial) รวมถึงกลุ่มธุรกิจใหม่ที่สามารถสร้างรายได้ที่มีเสถียรภาพซึ่งหลังจากการเป็น Holding Company แล้วจะมีการพิจารณาขยายธุรกิจเพิ่มเติม ทั้งหมดเป็นกลยุทธ์ของสิงห์ เอสเตท ที่ก้าวต่อไปในปี 2563