สีย้อมไม้เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้การตกแต่งบ้าน รวมไปถึงการทำสีเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ มีความสวยงาม และมีสีสันตามที่ต้องการ เพราะว่าไม้ตามธรรมชาตินั้นไม่สามารถให้สีสันที่หลากหลายได้ ไม้ธรรมชาติมีเพียงสีเฉพาะตามแต่สายพันธุ์ของไม้เท่านั้น แต่ก่อนที่เลือกสีย้อมไม้มาใช้ในการตกแต่งสีของวัสดุไม้ต่างๆ นั้นควรจะรู้ว่าสีย้อมไม้คืออะไร มีวิธีการใช้งานอย่างไร และแตกต่างจากสีประเภทอื่นอย่างไร
สีย้อมไม้ (Wood Stain) เป็นหนึ่งในวิวัฒนาการด้านสีที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 100 ปี โดยคุณสมบัติหลักของสีย้อมไม้คือช่วยให้งานตกแต่ง หรืองานเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้มีความโดดเด่น สวยงาม เป็นการก้าวข้ามข้อด้อยทางธรรมชาติของไม้ในเรื่องสีสันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งสีย้อมไม้ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จนในปัจจุบันสีย้อมไม้นอกจากจะทำให้ไม้เกิดสีสันสวยงามแล้ว ยังสามารถช่วยป้องกันแมลงต่างๆ รวมไปถึงใช้เคลือบไม้ให้มีความคงทนแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
สีย้อมไม้ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันนั้นมีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ สีย้อมไม้สูตรน้ำ และสีย้อมไม้สูตรน้ำมัน ซึ่งความแตกต่างของสีย้อมไม้ทั้ง 2 ประเภทนี้คือ
ข้อเสียของสีย้อมไม้สูตรน้ำมันคือ เป็นสีย้อมไม้ที่แห้งช้า การเลือกทินเนอร์มาผสมต้องเลือกชนิดที่ถูกต้อง หรือต้องเป็นทินเนอร์แบรนด์เดียวกันกับสีจึงจะได้ผลมากที่สุด และสีย้อมไม้สูตรน้ำมันยังเป็นสีย้อมไม้ที่มีสารเคมีประเภทต่างๆ ผสมอยู่มากกว่าสีย้อมไม้สูตรน้ำ
การเลือกซื้อสีย้อมไม้เพื่อมาตกแต่งงานไม้ต่างๆ ด้วยตัวเองนั้นการเลือกซื้อก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ต้องรู้จุดประสงค์ก่อนว่าไม้ที่เราต้องการทาสีนั้นมีรูปแบบการใช้งานอย่างไร ใช้งานภายนอก หรือภายในตัวบ้าน และผู้ใช้งานเป็นใคร นอกจากนั้นยังต้องรู้ก่อนว่าต้องการความเงางาม หรือความชัดเจนของลายไม้ในระดับไหน เพราะสีย้อมไม้นั้นแบ่งในเรื่องของความเงางามเป็น 3 ประเภทคือ
เมื่อรู้ถึงคุณสมบัติในเรื่องความเงาของสีย้อมไม้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือดูว่างานไม้ที่ต้องย้อมสีนั้นจะใช้ที่ไหน และผู้ใช้เป็นใคร ถ้าเป็นการใช้งานภายในบ้าน ในห้องนอน หรือบริเวณที่มีเด็ก ควรใช้สีย้อมไม้สูตรน้ำ เนื่องจากไม่มีการผสมโลหะหนักเข้าไปในเนื้อสี ทำให้มีความปลอดภัยกับผู้ใช้งานมากกว่าสีย้อมไม้สูตรน้ำมัน ส่วนถ้าเป็นงานภายนอกต้องเจอแดดควรเลือกใช้สีย้อมไม้สูตรน้ำมันจะเหมาะสมกว่า
สีทั้งสองประเภทนั้นเป็นสีที่สามารถทาไม้ได้เหมือนกันหมด แต่มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสีทาไม้นั้นจะเป็นสีน้ำ หรือสีน้ำมันที่ลักษณะของเนื้อสีนั้นมีความทึบ เมื่อทาไปแล้วจะปิดลายไม้ทั้งหมด เห็นเพียงแค่สีที่ทาลงไปเพียงอย่างเดียว แต่สีย้อมไม้จะเป็นสีที่โปร่งใส เมื่อทาลงไปแม้ไม้จะเปลี่ยนสี แต่ยังคงมองเห็นลายไม้จากธรรมชาติได้
นอกจากนี้สีย้อมไม้ยังมีคุณสมบัติที่สามารถซึมเข้าเนื้อไม้ได้ดีกว่าสีทาไม้ เมื่อไม้เกิดการยืด หรือหดตัวตามสภาพอากาศสีย้อมไม้จะไม่แตกเสียหาย เพราะเนื้อสีอยู่ในไว้ และสามารถยืดหดตัวได้ แต่สีทาไม้จะเสียหายเนื่องจากไม่สามารถยืด หรือหดตัวตามเนื้อไม้ได้นั่นเอง แต่สีทาไม้นั้นมีความสามารถในการทนต่อสภาพอากาศต่างๆ ได้ดีกว่า ให้สีที่สดได้อย่างยาวนานมากกว่าสีย้อมไม้
ดังนั้นการเลือกใช้งานระหว่างสีย้อมไม้ และสีทาไม้ ขึ้นอยู่กับความพอใจ และประเภทของงานที่ต้องการเป็นหลัก ถ้าต้องการงานที่โชว์ลายไม้ก็ควรใช้สีย้อมไม้ แต่ถ้าต้องการงานที่ปกปิดร่องรอยต่างๆ รวมไปถึงงานที่ต้องการความทนทานมากกว่าควรใช้สีทาไม้นั่นเอง
การทาสีย้อมไม้ด้วยตัวเองนั้นไม่ยากอย่างที่คิด การทาสีย้อมไม้ก็คล้ายๆ กับการทาสีผนังบ้าน เพียงแค่มีขั้นตอนการทำมากกว่า และต้องใช้ความละเอียดมากกว่าการทาสีผนังบ้านเล็กน้อย การทาสีย้อมไม้ด้วยตัวเองนั้นเมื่อเลือกสีย้อมไม้ที่ตรงกับความต้องการของตัวเองได้แล้ว ก็มาถึงขึ้นตอนในการเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการทาสีย้อมไม้ก็มีเพียงแค่ถาดรองสี และแปรงทาสี
ส่วนขั้นตอนในการทาสีย้อมไม้มีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
สีย้อมไม้เป็นสีที่มีความทนทานไม่มากนัก โดยเฉพาะเมื่อใช้กับงานภายนอก หรืองานกลางแจ้ง เมื่อชิ้นงานโดนแดด โดนฝน เป็นประจำ อายุการใช้งานของสีย้อมไม้จะอยู่ที่ประมาณ 2 – 4 ปี โดยสีเข้มจะมีความทนทานมากกว่าสีอ่อน เมื่อถึงเวลาสีย้อมไม้จะเริ่มซีด เนื้อฟิล์มที่เคลือบอยู่จะแตกเป็นรอย หรือหลุดเป็นชิ้น
เมื่อสีย้อมไม้เริ่มเสื่อมสภาพแล้วนั้นสามารถซ่อมแซมได้ การซ่อมแซมคือการใช้กระดาษทรายเบอร์ละเอียดขัดที่หน้าชิ้นงานให้เรียบ ให้ฟิล์มเคลือบเดิมนั้นหลุดออก แล้วสามารถทาสีย้อมไม้ทับหน้าชิ้นงานซ้ำไปได้เลย
จะเห็นได้ว่าสีย้อมไม้นั้นมีคุณสมบัติที่แตกต่างกับสีทาไม้ รวมทั้งมีคุณสมบัติเด่นๆ อีกหลายอย่างที่แตกต่างกันไปในสีย้อมไม้แต่ละประเภท ดังนั้นการเลือกซื้อย้อมไม้เพื่อนำมาใช้ควรศึกษาจุดเด่นของสีย้อมไม้แต่ละประเภทให้เข้าใจก่อน รวมไปถึงเข้าใจในวิธีการใช้งานด้วย เพียงเท่านี้การเลือกซื้อทาไม้มาใช้งานก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป