สถานการณ์การลงทุนในภาคเหนือยังคงคึกคักต่อเนื่อง แม้บางช่วงเศรษฐกิจของประเทศอาจแผ่วลงไปบ้าง แต่พื้นที่ภาคเหนือก็ยังได้รับความนิยมจากนักลงทุนน้อยใหญ่ทั้งในและต่างประเทศอย่างไม่ขาดสาย HBG ฉบับนี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “คุณศักดิ์ชัย เหลืองสถิตกุล” ผู้อำนวยการ ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 1 (BOI) เกี่ยวกับสถานการณ์การลงทุนของภาคเหนือตอนบน และการส่งเสริมการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันและแนวโน้มที่น่าสนใจ
นโยบายการส่งเสริมการลงทุนของ BOI เป็นอย่างไร
ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ดูแลรับผิดชอบพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน, ลำปาง, แพร่, น่าน, พะเยาและแม่ฮ่องสอน มีนโยบายในการส่งเสริมการลงทุนเพื่อตอบสนองการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งเพิ่มประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการใช้สิทธิและประโยชน์ทางภาษีแก่โครงการที่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ และสนับสนุนให้อุตสาหกรรมพัฒนาระบบคุณภาพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และมีมาตรฐานการผลิตเพื่อแข่งขันในตลาดโลก
นอกจากนี้ยังมีนโยบายปรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องกับข้อตกลงด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ยกเลิกเงื่อนไขการส่งออกและการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ สนับสนุนการลงทุนในภูมิภาคหรือท้องถิ่นที่มีรายได้ต่ำ ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม โดยกำหนดเงื่อนไขเงินลงทุนขั้นต่ำของโครงการที่ได้รับการส่งเสริมที่ 1 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) และให้ความสำคัญแก่กิจการเกษตรและผลิตผลจากการเกษตร กิจการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีและทรัพยากรมนุษย์ สาธารณูปโภคและบริการขั้นพื้นฐาน
โดย BOI ให้การส่งเสริมแก่ประเภทกิจการ ประกอบด้วยหมวด 1 เกษตรกรรมและผลผลิตจากการเกษตร, หมวด 2 เหมืองแร่ เซรามิคและโลหะขั้นมูลฐาน, หมวด 3 อุตสาหกรรมเบา, หมวด 4 ผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง, หมวด 5 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า, หมวด 6 อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ กระดาษและพลาสติก และหมวด 7 กิจการบริการและสาธารณูปโภค
สภาวะการส่งเสริมการลงทุนในภาคเหนือตอนบนเป็นอย่างไร
การลงทุนในภาคเหนือยังคงมีความคึกคักอย่างต่อเนื่อง ในปี 2555 ภาคเหนือตอนบนมีโครงการที่ยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน 136 โครงการ มีโครงการที่ได้รับการอนุมัติจำนวน 115 โครงการ มูลค่าการลงทุน 32,344.5 ล้านบาท ขณะที่สภาวะการลงทุนภาคเหนือตอนบนจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2556 มีโครงการที่ยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 45 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 6,674 ล้านบาท มีโครงการที่ได้รับการอนุมัติให้ส่งเสริมการลงทุน จำนวน 45 โครงการ มูลค่าการลงทุน 5,478.4 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมาร้อยละ 47
สาเหตุที่ลดลงเนื่องจากมีกลุ่มนักลงทุนทั้งรายเดิมและรายใหม่เร่งยื่นขอรับสิทธิในช่วงปี 2555 หลังจากที่ BOI ประกาศปรับนโยบายการส่งเสริมการลงทุนใหม่ เนื่องจากเกรงว่าจะได้รับสิทธิประโยชน์น้อยกว่านโยบายเดิม ส่งผลให้ยอดการขอรับการส่งเสริมในปี 2555 เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ
โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน 3 อันดับแรกในปี 2556 นี้ เมื่อคิดตามจำนวนโครงการ ได้แก่ อุตสาหกรรมการเกษตรและผลิตผลจากการเกษตร, อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมเบา ส่วนนักลงทุนต่างชาติที่สนใจยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน ได้แก่ ญี่ปุ่น, เกาหลี, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกา, สาธารณรัฐประชาชนจีนและฮ่องกง เป็นต้น ทั้งนี้แนวโน้มการลงทุนภาคเหนือตอนบนของปี 2556 คาดว่ามูลค่าการลงทุนจะเพิ่มขึ้นจากปี 2555 ร้อยละ 5 หรือ 13,000 ล้านบาท และคาดว่ามูลค่าการลงทุนปี 2557 จะเพิ่มจากปี 2556 อีกร้อยละ 10 หรือกว่า 14,300 ล้านบาท
การส่งเสริมการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาคเหนือตอนบนมีแนวโน้มเป็นอย่างไร
ในส่วนการส่งเสริมการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่จัดไว้ในหมวด 7 กิจการบริการและสาธารณูปโภค ในอดีต BOI ไม่ได้ให้การส่งเสริมการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย เนื่องจากการเคหะฯ สนับสนุนผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้ว โดยในส่วนของ BOI จะสนับสนุนอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่น เช่น การก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม, การสร้างโรงแรม, การสร้างหอประชุม เป็นต้น ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเริ่มมีผู้ให้ความสนใจในการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านจัดสรร ทาวน์เฮ้าส์ หรือคอนโดมิเนียมมากขึ้น จึงทำให้ BOI ปรับนโยบายให้มีการส่งเสริมกิจการในด้านนี้เพิ่มขึ้น
คุณศักดิ์ชัย เหลืองสถิตกุล ผู้อำนวยการ ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 1 (BOI)
เงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์มีอะไรบ้าง
ต้องเป็นกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลาง จะต้องจัดที่อยู่อาศัยไม่น้อยกว่า 50 หน่วย สำหรับทุกเขต ซึ่งโครงการที่ตั้งอยู่ในเขต 1 กรณีการก่อสร้างอาคารชุดจะต้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 28 ตารางเมตร และต้องจำหน่ายในราคาหน่วยละไม่เกิน 1 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) กรณีการก่อสร้างทาวน์เฮ้าส์หรือบ้านเดี่ยวต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 70 ตารางเมตร และต้องจำหน่ายในราคาต่อหน่วยละไม่เกิน 1.2 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน)
ส่วนโครงการที่ตั้งอยู่ในเขต 2 และ 3 จะต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 31 ตารางเมตร และต้องจำหน่ายในราคาต่อหน่วยไม่เกิน 600,000 บาท (รวมค่าที่ดิน) และแผนผังแบบแปลนอาคารจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ และจะต้องได้รับอนุญาตก่อสร้างอาคารตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ด้านสิทธิและประโยชน์กรณีตั้งอยู่ในเขต 1 และ 2 ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี ส่วนตั้งอยู่ในเขต 3 ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี
ในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่การส่งเสริมการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างไรบ้าง
ทั้งนี้จากการเปิดให้มีการสนับสนุนกิจการด้านที่พักในช่วงปี 2549-2550 เฉพาะพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่ มีโครงการที่ได้รับการอนุมัติเป็นคอนโดมิเนียม 3 โครงการ จำนวน 5,600 ยูนิต มูลค่าการลงทุน 760 ล้านบาท แต่ด้วยเงื่อนไขที่ต้องสอดคล้องกับความจำเป็นขั้นพื้นฐานสำหรับผู้มีรายได้น้อย ประกอบกับในช่วงนี้ราคาที่ดินและวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นมาก ส่งผลให้ในช่วงปี 2555-2556 เป็นการยื่นขอรับส่งเสริมบ้านพักสวัสดิการผู้สูงอายุ จำนวน 3 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 200 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการส่งเสริมการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ประเภทที่พักอาศัยในส่วนของบ้านผู้มีรายได้น้อยยังต้องเป็นไปตามเงื่อนไข โดยในอนาคตจะต้องรอการประกาศนโยบายใหม่ที่คาดว่าจะประกาศและมีผลบังคับใช้ในปี 2558
การพัฒนาขีดความสามารถในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ในภูมิภาคนี้จะยิ่งมีความเข้มข้นขึ้นในอนาคต ทั้งการเปิดประเทศเพื่อการค้าการลงทุนและการแข่งขันกับกลุ่มประเทศในอาเซียน ยิ่งทำให้กลุ่มนักลงทุนท้องถิ่นต้องลุกขึ้นมาพัฒนาศักยภาพของตนเองเพื่อให้ทัดเทียมหรือก้าวล้ำกว่าคู่แข่งขัน โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพคน นวัตกรรมและเทคโนโลยี ดังที่ BOI ได้กล่าวไว้ว่าจะทำให้นักลงทุนไทยสามารถยืนอยู่ในตลาดโลกได้อย่างมีศักยภาพ