ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยไม่จำกัดวงอยู่แค่การซื้อ-ขายภายในประทศเท่านั้น เพราะทุกวันนี้ การเปิดตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศกลายเป็นสิ่งที่หลายบริษัทให้ความสำคัญไม่แพ้กัน ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น กำลังซื้อในประเทศยังฟื้นตัวดีนัก ขณะที่โครงการใหม่ๆ ยังทยอยออกสู่ตลาดเพราะทุกบริษัทมีเป้าหมายที่จะต้องเติบโตทุกปี จึงต้องขยายตลาดต่างประเทศเพิ่ม
ขณะเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมปรับตัวสูงขึ้นมาต่อเนื่องจนกำลังซื้อในประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มระดับกลางเริ่มตามไม่ทัน จึงต้องพึ่งกำลังซื้อของต่างประเทศที่มีอำนาจการซื้อที่สูงกว่าเข้ามาสนับสนุน นอกจากนี้ ยังมีหลายบริษัทขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการลงทุนสูง ก็ต้องการขยายการลงทุนไปในประเทศต่างๆ เพื่อการก้าวไปสู่บริษัทในระดับนานาชาติที่ใครๆ ในโลกนี้รู้จัก
ด้วยเหตุผลดังกล่าว การสร้างแบรนด์ในระดับอินเตอร์จึงสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำ เพื่อให้การขยายตลาดในต่างประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยกลยุทธ์หนึ่งที่จะทำให้สามารถก้าวสู่การเป็นอินเตอร์แบรนด์ได้ คือ การร่วมเป็นพันธมิตรกับหลายหลายธุรกิจระดับโลก รวมถึงการวางกลยุทธ์ในเรื่องแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในปั้นแบรนด์ไปสู่ระดับโลกเข้ามาเสริมทัพ
แสนสิริ วางเป้าก้าวสู่แบรนด์อินเตอร์
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ความสำคัญ และดำเนินการในเรื่องนี้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ เพื่อขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกและลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์
โดยก่อนหน้านี้แสนสิริได้เข้าไปลงทุนมูลค่า 80 ล้านดอลล่าร์ หรือ 2,800 ล้านบาท ใน 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก ประกอบด้วย สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล (Standard International) แบรนด์ที่พลิกโฉมธุรกิจบูติกโฮเทล โฮสต์เมกเกอร์ (Hostmaker) บริษัทผู้บริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งจากลอนดอนให้กับ Airbnb
จัสท์โค (JustCo) ผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้ง สเปซรายใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฟาร์มเชลฟ์ (Farmshelf) นวัตกรรมฟาร์มอัจฉริยะเพื่อการปลูกผักสดสะอาดในที่พักอาศัย และโมโนเคิล (Monocle) แบรนด์สื่ออันทรงอิทธิพลระดับโลก ครอบคลุมทั้งสิ่งพิมพ์ ออนไลน์ วิทยุ ภาพยนตร์ รีเทล และธุรกิจบริการ
"ธุรกิจที่แสนสิริเข้าไปร่วมลงทุน ซึ่งนอกจากจะเป็นการขยายธุรกิจของบริษัทแล้ว สิ่งที่จะได้ในคือเรื่องของแบรนด์ อย่างเช่น สแตนดาร์ด และโมโนเคิล ทั้งคู่เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก ซึ่งเจ้าของแต่ละรายเป็นคนที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับก็ย่อมทำให้แบรนด์ แสนสิริ เป็นที่รู้จักมายิ่งขึ้นในระดับโลกไปด้วย" นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ กล่าว
ล่าสุด แสนสิริ ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการดึง อู้-นพปฎล พหลโยธิน ซึ่งเป็นกูรูด้านดีไซน์ดีกรีระดับโลกเจ้าของ “OU BAHOLYODHIN studio” กรุงลอนดอน มีผลงานการออกแบบเป็นที่ยอมรับทั้งในเอเชีย อเมริกา และยุโรป เข้ามาร่วมงานในตำแหน่งประธานผู้บริหารฝ่ายสร้างสรรค์ และจัดตั้ง “Sansiri Creative Studio" โดยมีบทบาทหน้าที่ในด้านการรังสรรค์อัตลักษณ์ของแสนสิริแบบองค์รวมทั้งรูปลักษณ์และความรู้สึก เพื่อให้สอดรับกับวิสัยทัศน์ของแสนสิริ ไปจนถึงรับผิดชอบดูแลการออกแบบโครงการพิเศษร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ระดับโลก อาทิ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล และโมโนเคิล โดยครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบประจำวันไปจนถึงการวางกลยุทธ์ด้านการสร้างสรรค์ของแสนสิริในระยะยาวในทุก Brand Touch Point
ก่อนหน้าที่ อู้-นพปฎล พหลโยธิน จะเข้าร่วมงานกับแสนสิริ ได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ บริษัท จิม ทอมป์สัน จึงมีโอกาสได้สั่งสมประสบการณ์ทั้งด้านการขับเคลื่อนแบรนด์ด้วยมุมมองการผนวกความเป็น “ไลฟ์สไตล์” และ “เวิล์ดคลาส” จนสามารถปฏิวัติวงการผ้าไหมและผ้าทอไทยสู่ระดับโลก ซึ่งประสบการณ์ดังกล่าวจะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างสรรค์และผลักดันแบรนด์แสนสิริไปสู่ระดับโลกต่อไป
อนันดาผนึกดิ แอสคอทท์ เสริมแกร่ง
อีกบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการรุกตลาดต่างประเทศ และการผนึกพันธมิตร เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัท และแบรนด์ คือ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โดยล่าสุด ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ ดิ แอสคอทท์ ลิมิเต็ด (“The Ascott Limited) เพื่อบริหารเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ให้กับ อนันดา ประเดิม 4 โครงการแรกในปีนี้ ซึ่งนายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ มองว่า การได้ร่วมกับพันธมิตรระดับโลกนอกจากเรื่องของการขยายธุรกิจแล้ว ยังจะช่วยเสริมสร้างแบรนด์อนันดาให้แข็งแกร่งขึ้น
สำหรับการขยายธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์จะเป็นสร้างรายได้ในระยะยาวให้กับบริษัท จากการเติบโตของธุรกิจและการท่องเที่ยวของไทยที่มีนักท่องเที่ยวมากขึ้นในทุกปีทำให้ธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแอสคอทท์ จะเข้ามาเป็นพันธมิตระดับโลกในธุรกิจเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ระดับลักชัวรี่ เพื่อสร้างจุดแข็งในด้านมาตรฐานที่พักอาศัย โดยเตรียมเปิดตัว 4 โครงการ มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท กว่า 1,400 ยูนิต ประเดิมโครงการแรก ได้แก่ โครงการ ซัมเมอร์เซ็ท รามา 9 บางกอก (Somerset Rama 9 Bangkok) มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท จำนวน 445 ยูนิต และอีก 3 โครงการอยู่ในทำเล สุขุมวิท ซอย 8 ทองหล่อง และสาทร อยู่ระหว่างดำเนินการ นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดโครงการในเมืองท่องเที่ยวอย่าง ภูเก็ต หรือหัวหิน ด้วย
สิงห์ผุดโปรเจ็กต์ World Destination
เช่นเดียวกับบริษัททุนหนาอย่างบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ที่รุกหนักในธุรกิจอสังหาฯที่เกี่ยวโยงกับการท่องเที่ยว ล่าสุดได้วางแผนลงทุนในกิจการเอาท์ริกเกอร์ โฮเทลส์ ฮาวาย(Outrigger Hotels Hawaii) มูลค่าประมาณ 11,073 ล้านบาท ประกอบด้วย โรงแรมและรีสอร์ทจำนวน 6 โครงการใน 4 ประเทศ ประกอบด้วย โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ ฟิจิ บีช รีสอร์ท, โรงแรมแคสต์อเวย์ ไอส์แลนด์ ในประเทศฟิจิ,โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก็ต บีชรีสอร์ท, โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ เกาะสมุย บีช รีสอร์ท, โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ มอริเชียส บีช รีสอร์ท ประเทศมอริเชียส และโรงแรมเอาท์ริกเกอร์ โคน็อตตา มัลดีฟส์ รีสอร์ท สาธารณรัฐมัลดีฟส์
ขณะที่ก่อนหน้านี้ สิงห์ เอสเตท ได้ร่วมกับกลุ่มฟิโก้ โฮลดิ้ง เข้าซื้อกิจการโรงแรมแบรนด์ เมอร์เคียว ในสหราชอาณาจักร รวม 26 แห่ง และการลงทุนพัฒนาบิ๊กโปรเจ็กต์ที่จะเป็น World Destination ได้แก่ โครงการครอสโร้ดส์ ในมัลดีฟส์ ที่ร่วมกับ Café Del Mar ผู้บริหารบีชคลับแนวหน้าของโลก และ Hard Rock Hotel Group พัฒนาโรงแรม รีสอร์ตและแหล่งท่องเที่ยวครบวงจร บน 9 เกาะในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ในเฟสแรกประกอบด้วย รีสอร์ต 3 แห่ง ทาวน์ชิป (Township) ท่าเทียบเรือยอช์ต ร้านค้าปลอดภาษี บีชคลับ ร้านค้า และภัตตาคาร รวมถึงสถานที่จัดประชุมและนิทรรศการ ที่จะเริ่มเปิดตัวในเฟสแรกเดือนประมาณเดือนต.ค.ปีนี้ จะเป็นการเปิดแบรนด์สิงห์ เอสเตทก้าวสู่ระดับสากล
ในอนาคตหากทุกแผนการเดินหน้าสู่ความสำเร็จ เราอาจจะมีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นแบรนด์ระดับโลกเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าไม่นานนี้