การมาของโควิด-19 จะส่งผลต่อมุมมองการใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยได้มากน้อยแค่ไหน สะท้อนได้จากแนวทางการพัฒนาโปรดัทก์ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มขยับมาทำตลาดแนวราบ ด้วยขนาดพื้นที่ และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งานที่นอกจากการออกแบบที่สวยงาม ยังต้องทิ้งระยะห่าง (Social Distancing) ให้กับสมาชิกในครอบครัวได้ด้วย
การอยู่อาศัยในแบบ New Normal กำลังเป็นที่พูดถึงว่ามีผลให้พฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเปลี่ยนไป โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่ และฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายเริ่มเป็นเซ็กเม้นท์ที่ผู้ซื้อให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ
แนวคิด Flexible Function
กระแส New Normal เป็นตัวแปรสำคัญที่นำมาสู่การปรับแผนการพัฒนาโปรดักท์ที่ตอบโจทย์ตลาดให้มากขึ้นทั้งในด้านดีไซน์และฟังก์ชันการใช้งาน
“เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป จากที่เคยให้ความสำคัญในเรื่องของ Sharing Economy มีการแชร์พื้นที่ แชร์สินค้าและบริการกัน เมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 มีการล็อคดาวน์ ความต้องการจึงเปลี่ยน กลับมาต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้นเพื่อตอบ New Normal ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่ของการดีไซน์และฟังก์ชันของการอยู่อาศัย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบซึ่งเป็นตลาดของกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง”
การพัฒนาโปรดักท์ที่เปลี่ยนไปนี้ ชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ (LALIN) ให้มุมมองว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด-19 ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปโดยเป็นผลมาจากมาตรการเว้นระยะห่าง การทำงานและเรียนหนังสืออยู่ที่บ้าน รวมถึงกิจกรรมบางอย่างที่มีการปฏิสัมพันธ์กันก็จะมีช่องทางเชื่อมต่อกันได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาพบปะกันแต่หันมาใช้ระบบออนไลน์ทดแทน ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิม
แนวทางการพัฒนาจึงได้มีการปรับเปลี่ยนไป โดยพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านทำขึ้นเพื่อรองรับการทำงานที่บ้านมากขึ้น โดยมีห้องเอนกประสงค์ที่ใช้เพื่อ Work from Home หรือ Learn from Home แม้แต่จะปรับเป็นห้องนอนก็สามารถทำได้ ตัวอย่างของการปรับพื้นที่ใช้สอยให้สอดรับกับกิจกรรม เช่น ทาวน์เฮ้าส์ 4 ห้องนอน สามารถปรับห้องนอนที่ 4 ให้เป็นห้องทำงาน ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่กลางวันทำงานประจำและใช้เวลากลางคืนในการทำงานฟรีแลนซ์ ขายของออนไลน์
Living Hub พื้นที่เพื่อคนในครอบครัว
เมื่อคนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้น การใช้พื้นที่ ตลาดมีความต้องการที่เปลี่ยนไป บ้านไซส์ใหญ่เริ่มกำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้นในตลาด ในส่วนของ เอ็น.ซี เฮ้าส์ซิ่ง ก็ได้มีการปรับแผนช่วงไตรมาส 2 โดยมีการออกแบบพัฒนาสินค้าภายใต้บ้านแนวคิดใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย ทั้งในแง่การใช้ชีวิตประจำวันที่อยู่บ้าน สอดรับต่อการอยู่อาศัยในรูปแบบที่เปลี่ยนไป ยุค New Normal มีการใช้เทคโนโลยีที่บ้าน คนทำงานจากที่บ้านมากขึ้น และทุกคนหันมาใส่ใจด้านสุขภาพกันมากขึ้น
สมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการปรับเพิ่มฟังก์ชันพื้นที่เพิ่มความสุข ที่เป็น Living Hub กับ พื้นที่ส่วนกลาง เช่น ห้องพักผ่อน ห้องทานอาหารและพื้นที่รองรับการทำงาน ให้มีความเชื่อมโยง และตอบโจทย์ ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ด้วยการใส่นวัตกรรม Smart Home Automation เข้ามามากขึ้นเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน การใช้งานสามารถสั่งการ เปิด-ปิดสั่งงาน เครื่องปรับอากาศ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และยังสามารถเข้าดูกล้องวงจรปิดแบบ Real Time ได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านสมาร์ทโฟนผ่านแอปพลิเคชัน
บ้านไซส์ใหญ่ที่พัฒนาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดจะมีใน 2 ทำเล 2 โครงการ โดยโครงการ NCOn Green PALM PARK สไตล์ Modern Tropical มีขนาดพื้นที่ใช้สอย 140 ตร.ม. 40 ตร.ว. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ในราคา 3.79 ล้านบาท
และในโซนตะวันตกโครงการบ้านฟ้ากรีนเนอรี่ ทิวา ปิ่นเกล้า สาย 5 ราคา 4.23 ล้านบาท
เป็นได้มากกว่า ‘บ้าน’
วิถีการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป อยู่บ้านมากขึ้น และทำกิจกรรมในบ้านมากขึ้นจากสถานการณ์ของโควิด-19 และไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่มองหารายได้มากกว่าสองทาง ทั้งงานประจำ และฟรีแลนซ์ ขายของออนไลน์ ทำให้บ้านต้องทำหน้าที่ได้มากกว่าเดิมจากที่เคยใช้เพื่อการพักผ่อนเพียงอย่างเดียว
“เทรนด์การอยู่อาศัยเปลี่ยนแปลงไป สังคมจะให้ความสำคัญกับ Social Distancing การมีพื้นที่ใช้ชีวิต” ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) มองพฤติกรรมและการตัดสินใจซื้อบ้านที่เปลี่ยนไป เมื่อบ้านต้องเป็นได้ทั้งที่พักอาศัย ที่ทำงาน พื้นที่สังสรรค์ ที่เก็บสินค้า ที่ประชุม และอีกหลายๆ รูปแบบความต้องการ เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้บ้านไซส์ใหญ่เริ่มเป็นที่ต้องการมากขึ้นในตลาด โดย “More Space of Life…More Happiness for Living เป็นอีกโครงการที่ ศุภาลัย พาร์ควิลล์ รังสิต คลอง 4 ที่เปิดตัวในช่วงไตรมาสสอง เป็นบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 175-318 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 5.44 ล้านบาท วางคอนเซ็ปต์ให้แต่ละพื้นที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานได้ เช่น ห้องทำงานชั้น 2 สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องอเนกประสงค์ หรือ ในส่วนของ Master Bedroom ขนาดใหญ่ และห้องนอนชั้นล่างสามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้อง Home Theater หรือห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุได้
เทรนด์การอยู่อาศัยที่เปลี่ยนไปนอกจากเรื่องพื้นที่ที่ยืดหยุ่นได้รองรับการใช้งานที่หลากหลายแล้วยังมีประเด็นของสุขอนามัยและอื่นๆ อีกมากที่ Baania