มีการประเมินกันมาตั้งแต่ต้นปีแล้วว่าในปีนี้อัตราดอกเบี้ยจะกลับเข้าสู่วงจรขาขึ้น แต่จะขึ้นเมื่อไหร่ ขึ้นไปมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องวัดใจคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)เอาว่า เมื่อธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดขึ้นดอกเบี้ย กนง.จะตัดสินใจเรื่องนี้บนพื้นฐานอะไร ในมุมมองแบบไหน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐก็ได้มีมติปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก .25% ไปอยู่ที่ช่วง 1.50 - 1.75% และมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอีก 2 ครั้งภายในปีนี้ จะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐมาอยู่ในช่วง 2.0 - 2.25% ณ สิ้นปี 2018
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้วิเคราะห์เอาไว้ว่า แม้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐจะมีแนวโน้มสูงขึ้น และการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่อเนื่อง แต่การขยายตัวยังคงกระจุกตัวอยู่ในภาคเศรษฐกิจที่ได้รับผลดีจากอุปสงค์จากต่างประเทศ ได้แก่ การส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยว
ขณะที่การฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศโดยเฉพาะกำลังซื้อของภาคครัวเรือนที่มีรายได้น้อยยังคงอ่อนแอ อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ รวมไปถึงเสถียรภาพด้านต่างประเทศที่ยังแข็งแกร่งและยังมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูงจะไม่ทำให้เกิดความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายมากนัก ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับต่ำ เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อไป
ดูเหมือนว่า ผู้เกี่ยวข้องทั้งในแวดวงการเศรษฐกิจ การเงิน หรือแม้แต่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ยังมั่นใจว่า กนง.จะยังกัดฟันตรึงดอกเบี้ยเอาไว้ เพราะเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มฟื้นตัว แต่ก็ประเมินสถานการเผื่อเอาไว้ ถ้าไทยเราขึ้นดอกเบี้ยคงต้องรอจังหวะในช่วงปลายปีและการปรับขึ้นคงจะไม่เกิน 0.5-1% ซึ่งอาจจะกระทบตลาดอสังหาริมทรัพย์อยู่บ้าง เพราะการขึ้นดอกเบี้ยทุก 1% จะต้องผ่อนบ้านเพิ่มประมาณ 7-8% แต่ก็ยังพอรับไหว
อย่างไรก็ตาม หากดูจากสภาพการแข่งขันในตลาดสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยแล้วต้องบอกเลยว่า การแข่งขันรุนแรงเกินห้ามใจ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นก็ตาม
นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เอ็น.ซี เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า ขณะนี้ สถาบันการเงินแข่งขันปล่อยสินเชื่อค่อนข้างรุนแรง โดยร่วมกับผู้ประกอบการ ออกแคมเปญสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้ผ่อนต่อเดือนในหลักล้านละไม่กี่พันบาท เพื่อระบายสต๊อกบ้าน-คอนโด พร้อมอยู่
ที่ผ่านมา เอ็น.ซี. ได้เปิดแคมเปญ NC QUICK QUICK ร่วมกับ 4 สถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ รับดอกเบี้ย 0.99% นาน 1 ปีและผ่อนล้านละ 1,500 บาท ธนาคารออมสิน กู้สูงสุด 110 % ดอกเบี้ย 0% นาน 10 เดือน ธนาคารกสิกรไทย รับดอกเบี้ย 0.75 % นาน 1 ปี หรือ ผ่อนล้านละ 1,000 บาท ธนาคารทหารไทย รับดอกเบี้ยต่ำ 1.99% นาน 2 ปีแรก เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจผู้สนใจบ้าน และคอนโดมิเนียม ในงานมหกรรมบ้านและคอนโด สามารถทำยอดขายในงานไปได้ 200 ล้านบาท และจะยังคงใช้ไปถึงปลายเดือนเมษายน
เชื่อว่า การแข่งขันปล่อยกู้สินเชื่อบ้านจะยังคงรุนแรงต่อไป ตามอุณหภูมิการแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัย โดยเสนอโปรฯ แรงๆ ดอกเบี้ยต่ำ คงที่ เพื่อดึงดูดใจลูกค้า อย่างล่าสุด ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ส่งแคมเปญใหญ่ สวนกระแส เฟดขึ้นดอกเบี้ย หรืออีกนัยอาจเป็นการส่งสัญญาณจากแบงก์รัฐว่า สามารถคงดอกเบี้ยต่ำได้ในภาวะที่ดอกเบี้นมีโอกาสที่จะปรับขึ้น แม้แคมเปญที่ออกมาจะใช้เฉพาะกลุ่ม สินทรัพย์รอการขาย หรือ NPA ก็ตาม
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธนาคารได้เตรียมวงเงิน 3,000 ล้านบาท จัดทำผลิตภัณฑ์ใหม่ “สินเชื่อบ้านบุพเพสันนิวาส” อัตราดอกเบี้ย 10 ปีแรก คงที่ 3.99% ต่อปี ปีที่ 11 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อย เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.เท่ากับ 6.75% ต่อปี)
สำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของ ธอส. และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยพร้อมกับกู้เพื่อซื้อ ให้ผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึงอายุ 75 ปี (เฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพตามที่ธนาคารกำหนด) สามารถยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2561 และสิ้นสุดระยะเวลาทำนิติกรรมเมื่อสินเชื่อเต็มกรอบวงเงินโครงการตามที่ธนาคารกำหนด
“สินเชื่อบ้านบุพเพสันนิวาส ถือเป็นผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ธนาคารกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ยาวนานที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งตลอดระยะเวลา 10 ปีแรก ลูกค้าจะไม่มีภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระบ้านเพิ่มขึ้น จึงสามารถวางแผนการ ใช้จ่ายเงินได้สะดวกยิ่งขึ้น อาทิ กรณีกู้ 1 ล้านบาท เงินงวด 10 ปีแรก จะอยู่ที่ 4,900 บาทเท่านั้น” นายฉัตรชัยกล่าว
ขณะที่ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานตัวเลขการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยว่า ในปี 2560 สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ทั้งระบบทั่วประเทศมีมูลค่า 633,991 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 เมื่อเทียบกับปี 2559 ส่วนแนวโน้มสินเชื่อปล่อยใหม่ทั้งระบบทั่วประเทศ ปี 2561 คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 620,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2560 ร้อยละ 2.2 หรืออาจปรับตัวสูงขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2561 ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.1 และการแข่งขันกันปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ 608,000-643,000 ล้านบาท
การแข่งขันในตลาดสินเชื่อในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น จึงอาจจะทำให้เบาใจไปได้บ้างว่า ดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านอาจจะไม่ผันแปรไปตามกระแสการปรับขึ้นของดอกเบี้ยในตลาดมากนัก แต่ที่น่าหวาดหวั่นในเวลานี้คือ สงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจของโลก ได้แก่ สหรัฐ และจีน ที่กำลังคุกรุ่น ซึ่งไทยมีความเกี่ยวพันในด้านการส่งออกกับทั้ง 2 ประเทศ และอาจจะเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยก็เป็นได้ เศรษฐกิจที่ว่าอาจโตได้เกิน 4% ก็อาจจะไม่แน่เสียแล้ว ถ้าไทย โดยหางเลขจากสงครามการค้ารอบนี้