การเดินสายไฟผิดวิธีจะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ มากมายจนอาจทำให้บ้านเกิดอัคคีภัยได้ ด้วยวิธีเลือกสายไฟอย่างถูกต้อง คุณสามารถศึกษาการเดินสายไฟที่ตรงตามมาตรฐาน และตรวจสอบงาน ด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ ด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้
แบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกันคือ สายสำหรับไฟแรงดันต่ำและสำหรับไฟแรงดันสูง โดยบ้านเรือนปกติจะใช้สายไฟแรงดันต่ำ ในประเทศไทยมีการกำหนดมาตรฐานตาม มอก.11-2553 ของสายตัวนำทองแดงที่หุ้มฉนวนต้องมีแรงดันไฟฟ้าอยู่ที่ 450/750 โวลต์ อุณหภูมิการใช้งานที่ 70 องศาเซลเซียส และ 90 องศาเซลเซียส ทั้งนี้อาจมีข้อยกเว้นกับบางสายไฟที่สามารถใช้ได้อยู่ โดยสายไฟแรงดันต่ำมีด้วยกัน 5 อย่างดังนี้
สายไอวี (IV) หรือ IEC 05 เป็นสายเดี่ยวแกนเดียว ขนาดสายจะอยู่ที่ 0.5-1 ตารางมิลลิเมตร แรงดันไฟฟ้า 300/750 โวลต์ ใช้ได้ทั้งสถานที่แห้งและสถานที่เปียก แต่ต้องยึดด้วยฉนวน ใส่ท่อเมื่อใช้ที่แห้ง และห้ามร้อยท่อฝังดินโดยตรง สามารถใช้ในบ้านเรือนทั่วไป
สายวีเอเอฟ (VAF) และ VAF/G มีทั้งเป็นสายเดี่ยว สายคู่ และแบบมีสายดิน ฉนวนหุ้มและเปลือกหุ้มอีกชั้นหนึ่ง แรงดันไฟฟ้า 300/500 โวลต์ นิยมนำสายคู่มาใช้ในบ้าน เนื่องจากมีขนาดให้เลือกเยอะ ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ สามารถนำมาตอกรัดสายติดเกาะกับอาคาร หรือพื้นที่ชื้นแฉะได้
สายทีเอชดับเบิลยู (THW) และ THW-f หรือ IEC 01-02 เป็นสายเดี่ยวคล้ายกันกับสายไอวี แต่มีขนาดใหญ่กว่าที่ 1.5-400 ตารางมิลลิเมตร แรงดันไฟฟ้า 450/750 โวลต์ จึงมักนำไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ใช้เดินลอยด้วยตัวยึดกับวัสดุฉนวน หรือเดินในช่องเดินสาย
สายเอ็นวายวาย (NYY) หรือ IEC 10 มีทั้งสายเดี่ยว และหลายแกน เป็นสายชนิดกลม ขนาดมากกว่า 50 ตารางมิลลิเมตร แรงดันไฟฟ้า 450/750 โวลต์ มีหลายขนาด มักใช้กันทั่วไปโดยการฝังดินโดยตรง แต่ควรระวังพื้นที่ที่ฝัง หากมีแรงกดทับหรือแรงกระแทกมากเกินไปอาจเกิดการชำรุดได้
สายวีซีที (VCT) และ VCT/G หรือ IEC 52-53 เป็นสายกลมมีแกนตั้งแต่ 1-4 แกน แรงดันไฟฟ้ามี 3 แบบคือ 300/300 โวลต์ 300/500 โวลต์ และ 450/750 โวลต์ ด้วยตัวสายมีความอ่อนตัวและทนแรงสั่นสะเทือนได้ดี จึงนำไปเครื่องมือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เคลื่อนย้ายบ่อยครั้ง
สำหรับไฟแรงดันสูง จะใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อส่งไฟฟ้าไปให้เครื่องจักรมีพลังงานที่เพียงพอ โดยแบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกันคือ สายเปลือย เป็นเส้นโลหะที่ให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ไม่มีฉนวนหุ้ม ได้แก่ สายอะลูมิเนียมตีเกลียวเปลือย (AAC) สายอะลูมิเนียมผสม (AAAC) และสายอะลูมิเนียมแกนเหล็ก (ACSR) สายหุ้มฉนวน เป็นสายเปลือยที่มีฉนวนหุ้ม ได้แก่ สาย Partial Insulated Cable (PIC), สาย Space Aerial Cable (SAC), สาย Preassembly Aerial Cable, และสาย Cross-linked Polyethylene (XLPE)
มีด้วยกัน 16 อย่าง เป็นมาตรฐานในการเดินสายไฟภายในบ้าน อาจมีบางอย่างที่ใช้ในการเดินสายแบบอื่นด้วย หากเป็นไปได้ควรมีไว้ทั้งหมดเผื่อในการติดตั้งครั้งหน้า โดยมีอุปกรณ์มีดังต่อไปนี้
ทั้งนี้ยังมี หัวแร้ง ไว้เชื่อมและประสานเหล็ก สิ่ว ใช้ในงานไม้เพื่อเซาะร่องทำทางเดินสายไฟ และเครื่องมือวัดระยะของสายไฟ เพื่อให้งานออกมามีประสิทธิภาพ
จะช่วยให้สายไฟที่นำมาเดินมีความตรงเป็นแนวสวยงาม เมื่อนำมาติดกับเข็มขัดรัดสายจะช่วยให้รัดได้แน่นยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันยังไม่มีอุปกรณ์ที่วางขายอย่างเป็นทางการในเรื่องนี้ ปกติจะใช้เพียงผ้าชุบน้ำมาคลุมเส้น นำมืออีกข้างหนึ่งจับที่ปลายสาย และมืออีกข้างหนึ่งดึงสายให้คลี่ออกมาตามระยะที่ต้องการใช้
ช่อง ช่างแขก จัดให้ จากเว็บไซต์ชื่อดัง ได้เสมอวิธีการรีดสายไฟด้วยการนำท่อ PVC ที่มีขนาดเล็กประมาณ 3 นิ้ว มายัดด้วยสายยางรดน้ำต้นไม้แบบนิ่มเข้าไปโดยให้มีความแน่นพอสมควร ขนาดประมาณ 5 เซนติเมตร แต่ให้เหลือหัวของสายยางไว้เล็กน้อย 1-2 เซนติเมตร
วิธีการใช้ให้นำสายที่มีความคด งอ หรือโค้งใส่เข้าไปในช่องท่อ PVC โดยให้ปลายสายขึ้นมาทางสายยางที่มีหัวออกมาจากท่อเล็กน้อย นำมือข้างหนึ่งจับที่ปลายสายแล้วดึงเป็นมุมฉากกับมือที่ถือท่อ เพื่อให้สายไฟรีดไปกับ PVC และสายยาง ประมาณ 2-4 ครั้ง จะได้เส้นที่ตรงสวยงาม
อีกหนึ่งนวัตกรรมของนักศึกษาจากวิทยาลัยการอาชีพพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ที่คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ในการรีดสายไฟมีชื่อว่า เครื่องมือรีดสายไฟฟ้า VAF (VAF Tool rolled cable) โดยมีลักษณะเป็นเครื่องจับและมีลูกกลิ้งสองตัวอยู่ที่หัวจับ วิธีการเพียงนำสายไฟมาใส่ระหว่างทางเข้าและทางออกที่แตกต่างกัน จะทำให้เส้นเกิดความตรงได้ อุปกรณ์ชิ้นนี้อาจมีการพัฒนาและนำมาวางจำหน่ายในอนาคต
เป็นการเดินสายไฟอย่างง่าย รวดเร็ว และใช้งบประมาณน้อย ชื่อหนึ่งที่เรียกกันคือ การเดินสายไฟแบบติดกิ๊บยึดผนัง เป็นการนำเส้นมาติดตามกำแพง ขอบเสาเป็นทางยาวไปหาจุดที่สำคัญของบ้าน เช่น ปลั๊กไฟ สวิตช์ หรือโคมไฟฟ้า ใช้เวลาน้อยเนื่องจากไม่ต้องทำช่องในผนัง หรือเจาะให้มีรูมาก ตรวจสอบง่ายเพราะสายนั้นอยู่ภายนอกกำแพง หากมีปัญหา หรือชำรุดก็สามารถซ่อมได้เอง หรือให้ช่างมาดูให้ได้ การเดินสายไฟแบบเดินลอยยังแบ่งออกได้อีก 2 แบบคือ
1. การเดินสายไฟในท่อร้อยสายไฟ เป็นการนำเส้นเข้าไปในท่อโลหะ หรือท่อพลาสติก ยึดติดกับผนัง วิธีการนี้จะทำให้สายไฟมีความปลอดภัย เมื่อเกิดปัญหาเกี่ยวข้องกับท่อก็สามารถตรวจเช็กได้ง่ายดาย และที่สำคัญติดตั้งได้ง่ายกว่าการตีกิ๊บยึดผนัง แต่แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น ในการซื้อท่อ สีนำมาทาปกปิดให้กลมกลืนกับผนัง และจุดวางปลั๊กไฟ หรือที่กระจายไฟฟ้าอื่น ๆ ต้องยกสูงขึ้นมาให้เท่ากับท่อด้วย
2. การเดินสายไฟแบบตีกิ๊บ วิธีการนี้ถือเป็นวิธีที่ยอดนิยม เนื่องจากใช้งบน้อยที่สุด และซ่อมแซมได้ง่ายกว่าแบบแรก ด้วยการนำเส้นที่ทำการรีดให้เรียบ แล้วนำมาติดกับเข็มขัดรัดสาย ระนาบไปผนัง โดยปกติจะมี 1-4 เส้น แต่การติดตั้งแบบนี้ต้องมีความชำนาญ หากสายที่ติดไปแล้วมีจุดใดที่หลวม หรือไม่แน่นพอจะทำให้ส่วนอื่น ๆ ต้องแก้ไขตามไปด้วย
ทำให้บ้านสวยงาม มีระบบการจัดวางเรื่องไฟฟ้าที่ดี โดยการนำเส้นไปไว้หลังผนัง โดยการเจาะผนังบางส่วนให้สามารถวางท่อร้อยสายไฟ และกล่องไฟฟ้าได้ จะทำให้บ้านดูเป็นระเบียบ ไม่มีจุดของปล้๊ก หรือเส้นต่าง ๆ ออกมาตามผนัง สำหรับการติดตั้งแบ่งออกไปเป็น 2 แบบ คือ
ข้อเสียของการเดินสายฝังผนังอย่างหนึ่งคือ การซ่อมแซม และบำรุงรักษา เมื่อบ้านมีอายุที่มากขึ้นสายไฟก็เสื่อมสภาพลง หากมีสายบางเส้นชำรุดเสียหาย และต้องนำสายดังกล่าวออกเพื่อนำสายใหม่มาเปลี่ยน
สามารถแบ่งได้ 2 แบบคือ การเดินสายแบบติดผนัง และการเดินแบบสายในท่อร้อยสาย โดยจะมีความแตกต่างกันในเรื่องงบประมาณ และอุปกรณ์ โดยสายแบบท่อร้อยจะค่อนข้างสูง แต่การเดินสายแบบติดผนังจะทำยากกว่า และต้องมีฝีมือมากพอสมควร
สำหรับการแบบติดผนัง จำเป็นต้องมีอุปกรณ์สำหรับวัดระดับน้ำเพิ่มเข้ามา โดยการตีเส้นให้เป็นทางให้เรียบร้อยเพื่อทำจุดวางเข็มรัดเส้นให้มีระยะห่างอยู่ที่ 2.5-3 เซนติเมตร หากมีมุมแยก หรือเป็นจุดวางอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ให้เว้นไว้ 3 เมตร ควรหันหน้าหยาบของเส้นเข็มรัดให้เข้าหาสายไฟเพื่อช่วยในการยึด
การเดินแบบสายในท่อร้อยสาย จำเป็นต้องมีอุปกรณ์พิเศษได้แก่ ท่อ, ตัวยึดท่อ, ข้อต่อ, ท่ออ่อนร้อยสายไฟ, กล่องสแควบ๊อกซ์, และคอนเนคเตอร์ โดยตัวยึดท่อต้องมีระยะห่างไม่เกิน 5 เมตร ทุกทางแยกต้องมีกล่องสแควบ๊อกซ์ และอุปกรณ์ทางไฟฟ้าต้องติดคอนเนคเตอร์ทุกช่องที่ใช้อยู่เสมอ หากมีทางชันให้ติดข้อต่อกับท่ออ่อนร้อยสายไฟขนาดประมาณ 1 เมตรให้ผ่านไปได้
สำหรับผนังปูน จะเปลี่ยนจากดินสอเป็นบักเต้าในการวาดเส้น และใช้เหล็กนำศูนย์เจาะจุดเพื่อให้ตีเส้นอย่างถูกต้อง
แบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกันตามวัสดุที่ผลิต ได้แก่ ท่อโลหะ และท่อพลาสติก โดยมีความแต่งต่างกันในเรื่องคุณภาพ และราคาตามที่ผู้ซื้อต้องการ นอกจากนี้ยังแบ่งเป็นชนิดได้ดังต่อไปนี้
ท่อโลหะ ทำจากเหล็กชุบสังกะสี แบ่งออกมา 6 ชนิด ได้แก่
มีวิธีตรวจสอบง่าย ๆ เพียง 2 วิธี โดยไม่ใช้อุปกรณ์เฉพาะทาง เพียงแค่มองเท่านั้น ขั้นตอนแรก เช็กอายุของบ้านและการเดินสายไฟ โดยปกติสายไฟจะมีอายุอยู่ที่ 15-20 ปี หากติดตั้งการเดินสายแบบท่อร้อยสายไฟจะมีอายุมากขึ้นอีก 5-10 ปี โดยประมาณและการถอดแผงสวิทช์ หรือปลั๊กไฟออกมาตรวจสอบ โดยการดูสภาพของสายไฟยังเป็นเหมือนเดิมหรือไม่ หากเริ่มแข็งกรอบ แตกลาย จับบีบงอแล้วหัก จึงจำเป็นต้องเปลี่ยน
โดยวิธีที่สามารถทำได้คือการเดินไฟฟ้าแบบเดินลอย มี 2 แบบคือการเดินแบบสายในท่อร้อยสาย และการเดินสายแบบติดผนัง
แบ่งได้ 3 วิธีด้วยกันคือ การตรวจเช็คมิเตอร์ โดยการปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดภายในบ้านและนอกบ้าน แล้วสังเกตที่มิเตอร์ว่ามีการเคลื่อนไหวของไฟฟ้าหรือไม่ ควรทำทุกอย่างให้มีความปลอดภัยอยู่เสมอ
เช็คปลั๊กไฟด้วยไขควงไฟฟ้า เพียงนำปลายของไขควงลงไปในช่องของปลั๊กที่มีโลหะอยู่ ภายในไขควงจะแสดงไฟออกมาถ้าปลั๊กช่องนั้นปกติ และจะไม่แสดงผลเลยหากปลั๊กช่องนั้นไม่มีไฟฟ้าไหลผ่าน ไขควงไฟฟ้ามี 2 แบบ คือแบบกดเช็คไฟฟ้า และแบบไม่ต้องกดเช็คไฟฟ้า
และการเช็คเครื่องใช้ไฟฟ้า เมื่อเปิดทำงานแล้วมีไฟฟ้าสถิตและช็อคตัวผู้ใช้แสดงว่า เกิดการรั่วไฟของไฟฟ้าภายในบ้าน ควรเรียกช่างมาตรวจสอบ
การเดินสายไฟนั้นจำเป็นต้องมีฝีมือ และความรู้เกี่ยวกับสายไฟพอสมควรเพื่อให้เลือกได้ถูกต้องตามจุดประสงค์ของผู้ซื้อ และต้องมีความละเอียดในการติดตั้งไปจนถึงตรวจสอบ จะทำให้บ้านมีไฟฟ้าใช้ไปอย่างยาวนาน