อุปกรณ์ให้แสงสว่างนั่นก็คือหลอดไฟ ที่แทบจะมีอยู่ทุกที่ที่ผู้คนอาศัยอยู่ ดังนั้น หลอดไฟจึงเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี แม้คนสมัยก่อนจะนิยมใช้เทียน หรือการก่อกองไฟในการให้ความสว่าง แต่ด้วยปัจจุบันเมื่อเทคโนโลยีถูกพัฒนาขึ้นจึงมีหลอดไฟมาเป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวกได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหลอดประหยัดไฟ ตัวช่วยสำคัญในการประหยัดค่าไฟฟ้า วันนี้เรามีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับวิธีการเลือกหลอดประหยัดไฟมาบอกกัน
เนื่องจากหลอดไฟเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีอายุการใช้งานค่อนข้างสั้น ทำให้ต้องเปลี่ยนบ่อย อายุการใช้งานเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อใหม่ ดังนั้น เราควรหาหลอดไฟที่ทนทานตามสภาพการใช้งานที่เหมาะสมที่สุด
ควรเลือกหลอดไฟที่สว่างพอเหมาะกับพื้นที่นั้น ๆ หากกำลังไฟมากจนเกินไปอาจจะทำให้ห้องมีอุณหภูมิที่สูง และส่งผลให้ห้องนั้นร้อนขึ้น ทำให้ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศในอุณหภูมิที่ต่ำลง ซึ่งก็จะยิ่งกระทบกับค่าไฟ ซึ่งไม่ส่งผลดีอย่างแน่นอน
การเลือกหลอดไฟที่เข้ากับการดำเนินชีวิตประจำวันก็เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ ตัวอย่างเช่น หากคุณชอบอ่านหนังสือ ถ้าไฟแรงเกินไปอาจจะทำให้เเสบตา แต่ถ้าไฟเบาเกินไปคุณก็จะอ่านหนังสือได้ไม่ชัด ดังนั้น ควรเลือกหลอดไฟที่มีกำลังไฟเหมาะสมกับกิจวัตรของคุณ
การเลือกรูปทรงของหลอดไฟให้เหมาะสมเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการไฟสำหรับห้องนอน แต่กลับไปเลือกไฟสำหรับห้องรับแขก ห้องครัว หรือห้องน้ำ ซึ่งไม่เหมาะกับรูปแบบการใช้งาน เพราะการกระจายแสงอาจจะมากหรือน้อยจนเกินไป ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนใหม่หรือติดตั้งเพิ่ม อาจทำให้สิ้นเปลืองเพิ่มขึ้นด้วย
ก่อนจะเลือกซื้อหลอดไฟ เราควรทำความรู้จักกับประเภทของหลอดไฟว่ามีกี่แบบ แต่ละประเภทใช้งานอย่างไร มีการกินไฟมากน้อยแค่ไหน และการเลือกหลอดไฟแต่ละประเภท จะส่งผลดีและผลเสียอย่างไรบ้าง เรามาทำความรู้จักหลอดไฟทั้งหมด 7 ประเภทกันเลย
บางครั้งหลายคนมักเรียกว่าหลอดดวงเทียน รูปทรงเป็นแบบแก้วใสและเเก้วฝ้า ไส้หลอดทำมาจากทังสเตน ยิ่งเกิดความร้อนยิ่งทำให้มีแสงสว่างออกมาจากไส้หลอด มีแสงสีเหลืองส้ม มีอายุการใช้งานค่อนข้างน้อย เปลืองไฟมากกว่าหลอดไฟแบบอื่น ๆ เพราะใช้พลังงานในการให้แสงสว่างค่อนข้างมาก หลอดไฟประเภทนี้จึงไม่เป็นที่นิยมนำไปใช้งาน
แสงสว่างจะคล้ายกับหลอดแสงจันทร์แต่จะสว่างมากกว่า ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ภายใต้แสงแดดจริงๆ ภายในทำมาจากทังสเตนล้วน กับกระเปาะผสมฮาไลน์ชนิดต่าง ๆ มีอายุการใช้งานประมาณ 24,000 ชม. มักใช้กับงานที่ต้องการแสงไฟใกล้เคียงกับของจริง เช่น การถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ห้างสรรพสินค้า งานพิมพ์ สนามกีฬา เป็นต้น
การทำงานจะคล้ายกับหลอดไส้ โดยแสงมีกำเนิดมาจากความร้อน ซึ่งกระแสไฟจะไหลผ่านทังสเตน ถึงแม้จะทำงานคล้ายกัน แต่ก็ยังมีข้อแตกต่างตรงที่มีการบรรจุสารตระกูลฮาโลเจน ทำให้มีอายุการใช้งาน ปริมาณของแสง และอุณหภูมิสีมากกว่าหลอดไส้ที่มีแสงสีขาวและค่าความถูกต้องของสีถึง 100% อายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ราว ๆ 1,500-3,000 ชม. หลอดไฟนี้นิยมใช้สำหรับการแต่งหน้า
กระบวนการทำงานจะปล่อยประจุที่มีความเข้มข้นสูง ค่าความถูกต้องของสีจึงแทบจะไม่มีเลย แสงที่ได้จะนวล ๆ ไม่สว่างมาก แต่ระยะแสงจะส่องได้ค่อนข้างไกล จึงเหมาะใช้กับสนามหรือสถานที่ภายนอกอาคาร หลอดไฟชนิดนี้จะใช้เวลาช่วงหนึ่งก่อนแสงจะทำงานเต็มที่ อีกทั้งเมื่อปิดแล้วยังต้องรออีกราว ๆ 10 นาทีกว่าจะเปิดใช้งานได้อีกครั้ง หลอดไฟชนิดนี้มีอายุการใช้งานประมาณ 24,000 ชม. ซึ่งในปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมแล้วเพราะดูแลรักษายาก
อีกหนึ่งนวัตกรรมของหลอดไฟ เพราะไม่มีการเผาไส้หลอด ทำให้ไม่เกิดความร้อน มีแสงไฟหลายสีให้เลือกใช้งานตามความต้องการ มาพร้อมด้วยขนาดที่เล็กจึงนำไปใช้ตกแต่งตามที่ต่าง ๆ หรือประยุกต์ใช้ได้ง่ายกว่าหลอดไฟแบบอื่น ๆ มีความทนทานต่อการใช้งานด้วยอายุการใช้งานประมาณ 50,000-60,000 ชม. แม้ราคาจะสูงกว่าหลอดไฟทั่วไป แต่เมื่อเทียบกับคุณสมบัติต่าง ๆ ข้างต้น ถือว่าคุ้มค่ากับการใช้งานแน่นอน
หลอดไฟชนิดนี้สามารถใช้ร่วมกับหลอดไฟแบบที่มีบัลลาสต์ในตัวและแบบที่มีบัลลาสต์ภายนอก ซึ่งมีหลากหลายค่าพลังงานให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม มีสีและรูปร่างให้เลือกได้หลากหลาย ทั้งแบบเกลียว แบบยาว แบบคู่ หรือมีโคมครอบ มีอายุการใช้งานทนทานในระดับหนึ่ง
ลักษณะของหลอดไฟชนิดนี้จะเป็นทรงกระบอกหรือแบบกลม ซึ่งด้านในจะเคลือบด้วยสารเรืองแสง โดยจะให้แสงสว่างที่ถนอมสายตาจึงเหมาะกับการใช้ทำงานเป็นเวลานาน หากเทียบกับหลอดไส้จะมีอายุการใช้งานยาวนานประมาณ 6,000-20,000 ชม. โดยใช้พลังงานเพียง 20% เท่านั้น
หลังจากได้ทำความรู้จักกับประเภทหลอดไฟทั้งหมดไปแล้ว อีกหนึ่งอย่างที่ผู้ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างให้ความสำคัญคือ การประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย รวมไปถึงเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หลอดประหยัดไฟ จึงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ที่ผู้อยู่อาศัยนิยมเลือกใช้กัน เพราะถึงแม้ว่าจะใช้กระแสไฟน้อย แต่ยังสามารถให้ความสว่างได้เทียบเท่ากับหลอดไฟแบบธรรมดาทั่วไป หลอดประหยัดไฟในปัจจุบันมีทั้งหมด 2 ประเภท
ประหยัดไฟได้มากถึงร้อยละ 80% ของหลอดไส้ เหมาะกับสถานที่ที่ต้องเปิดไฟนาน ๆ หรือสถานที่ที่เปลี่ยนหลอดไฟลำบาก การทำงานจะเปิดติดทันทีโดยไม่กะพริบ มีขนาดกะทัดรัดไม่ยาวเกินโคมไฟ
ปัจจุบันหลอด T5 คือหลอดไฟที่ประหยัดพลังงานได้สูงสุดเมื่อเทียบกับแบบอื่น ๆ เนื่องจากมีเส้นผ่าศูนย์กลางเล็ก จึงใช้กำลังไฟเพียง 28 วัตต์ แต่ยังคงให้ความสว่างได้มากกว่า หรือเทียบเท่ากับหลอดไฟแบบปกติทั่วไปตามท้องตลาด
1. ควรปิดหลอดไฟทุกครั้งหลังใช้งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว
2. ควรถอดปลั๊กหากไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน
3. ควรเช็คระดับความสว่างของหลอดไฟอย่างสม่ำเสมอ
4. ควรทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ
5. หลอดไฟควรมีกำลังวัตต์ที่เหมาะสมแก่การใช้งาน
เนื่องจากหลอดประหยัดไฟได้รับความนิยมใช้งานเป็นอย่างมากในปัจจุบัน หากทราบชนิดหรือประเภทของหลอดประหยัดไฟที่ต้องการใช้งานแล้ว ควรเรียกช่างผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำในด้านเทคนิคเพื่อความปลอดภัย ซึ่งช่างผู้เชี่ยวชาญจะให้คำปรึกษาทั้งในเรื่องความเหมาะสม ดีไซน์ รูปแบบการใช้งานที่ทนทาน และที่สำคัญคือเรื่องการประหยัดพลังงานให้เหมาะกับสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการจริง เพื่อไม่ให้เป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
จากที่กล่าวมาทั้งหมด มีข้อมูลทั้งเรื่องประเภท วิธีการดูแล และวิธีการเลือกหลอดประหยัดไฟที่มีมากมาย โดยข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ผู้ใช้งานสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อให้ตรงกับความต้องการได้ไม่ยาก เพราะหลอดประหยัดไฟเเต่ละประเภทจะมีข้อดีข้อเสียในการใช้งานที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าจุดประสงค์หรือความเหมาะสมในการใช้งานแต่ละพื้นที่เป็นแบบใด ทั้งหมดเป็นข้อมูลในการใช้งานที่คุ้มค่าอย่างแท้จริง