หากเราย้อนไปวัยเด็ก เวลาเล่นกับเพื่อนๆ หลายคนคงจะเคยเล่นเป็นบทบาทสมมติต่างๆ มีทั้งเล่นเป็นครอบครัว เล่นเป็นครู-นักเรียน เล่นเป็นหมอกับคนไข้ แต่ที่ขาดไม่ได้คงหนีไม่พ้นการเล่นเป็นคนซื้อ-ขายของในตลาด คนขายก็จะต้องเอาของอะไรก็ไม่รู้มาวางเรียงๆ กัน สมมติขึ้นมาว่ามันคือผักผลไม้หรือเครื่องใช้ประจำวันที่ตัวเองคิดอยากจะขาย คนซื้อก็อาจจะไปหาตะกร้ามาถือ ทำเป็นเดินผ่าน แล้วให้พ่อค้าแม่ค้าตะโกนชักชวนให้ซื้อของ หลังจากนั้นการต่อราคาก็จะเกิดขึ้น “อันนี้ 40 บาท” “ลดเหลือ 20 ได้ไหม” “ไม่ได้ฉันขาดทุนพอดี” “ลดให้หน่อยนะ ไว้วันหลังจะกลับมาอุดหนุนใหม่” แล้วพวกเราก็เล่นวนไปตามภาพที่เราเคยเห็นเป็นประจำ
การเล่นเป็นบทบาทสมมติยังมีเรื่อยมาถึงปัจจุบัน แต่เด็กๆ ในวันนี้กลับเล่นเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ส่งอาหารที่สั่งออนไลน์ คนซื้อก็ทำแค่เปิดประตูบ้านมารับของ คนส่งของก็ทำทีเป็นกดมือถือยืนยันการส่ง จากมุมมองของพวกเราที่เป็นผู้ใหญ่ การซื้อขายของผ่านแอพลิเคชั่นออนไลน์อาจเป็นเรื่องใหม่ หรือเป็นความเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคดิจิทัลที่เราต้องเรียนรู้และต้องปรับตัวให้ทันกาล แต่ในมุมมองของเด็ก เรื่องเหล่านี้คือ “ความปกติใหม่” ของสังคม แต่ในทางกลับกัน คนแก่หลายคนคงเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นความประหลาดของชีวิตที่ชวนเวียนหัว แตกต่างจากโลกอนาล็อก (analog) ที่เขาเติบโตและใช้ชีวิตมาอย่างสิ้นเชิง
ความจริงแล้ว ความเป็นเมืองในหลายพื้นที่ทั่วโลกมีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็นที่กระจุกตัวของพานิชยกรรมทำให้พื้นที่เหล่านั้นกลายเป็นศูนย์รวมการแลกเปลี่ยนสินค้า และเป็นแหล่งรวมวัตถุดิบและอาหารที่หลากหลายไปในตัว การรวมตัวของคนและชุมชนยังทำให้เกิดย่านและตลาดขนาดย่อมตามมา พลวัตเหล่านี้ทำให้ตลาดและชุมชนในเมืองกลายเป็นพื้นที่ที่คู่กันไปโดยปริยาย โดยที่ตลาดสดไม่ได้มีเพียงบทบาทเป็นแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญต่อชีวิตคนเมืองเพียงอย่างเดียว แต่ตลาดสดยังเป็นพื้นที่ที่ทำให้คนเมืองในชุมชนโดยรอบได้มาพบปะและสร้างสัมพันธ์กันระหว่างการจับจ่ายใช้สอย
ภายใน 30 ปีที่ผ่านมา รูปแบบวิถีชีวิต สังคม และเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมาก วัฒนธรรมตลาดสดที่มีแผงขายผัก ผลไม้ ปลา และเขียงหมู เริ่มมีคู่แข่งเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตที่มีพื้นที่โล่งกว้างภายในอาคาร เปิดไฟสว่างสไว เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เต็มไปด้วยชั้นวางสินค้า เหล่าผัก ผลไม้ และอาหารสดก็ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตลาดสดที่เราเคยเข้าอยู่เป็นประจำก็เริ่มที่จะถูกแย่งลูกค้าไป
มากไปกว่านั้น ภายใน 5 ปีที่ผ่านมา วิถีชีวิตคนเมืองเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยมีเศรษฐกิจดิจิทัลเข้ามาเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก เมื่อชีวิตเร่งรีบมากยิ่งขึ้น หลายต่อหลายคนเริ่มหันมาหาเทคโนโลยีเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต “ตลาด” หรือแหล่งอาหารในเมืองสมัยนี้ จึงอาจเป็นเพียงหน้าจอสมาร์ทโฟนที่ใช้เรียกบริการส่งอาหารถึงที่ แอพลิเคชั่นมือถือบริการส่งอาหารเหล่านี้ได้กลายมาเป็นทางออกของรูปแบบชีวิตแบบใหม่ที่ได้รับความนิยมที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน คนเมืองในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่ประกอบอาหารภายในห้องเช่าหรือคอนโดขนาดเล็ก ซึ่งมักไม่เพียงพอสำหรับการประกอบอาหารกินเอง อีกทั้งยังมีเพียงไมโครเวฟและกาน้ำร้อนเป็นเครื่องครัวที่สามารถทำได้แค่อุ่นอาหารและชงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น ข้อจำกัดดังกล่าวมีส่วนทำให้ตลาดที่ขายแต่ของสดเริ่มมีบทบาทในชีวิตคนเมืองลดน้อยลง และในทางกลับกัน ตลาดและร้านอาหารที่ขายกับข้าวกลับยังสามารถคงอยู่เพื่อตอบรับกับความต้องการสะดวกสบายของผู้บริโภคในเมืองต่อไป
จากการสำรวจการเข้าถึงสาธารณูปการของเมืองที่ UddC เคยศึกษาไว้เมื่อปี 2556 พบว่า คนเมืองส่วนมากหันมาเข้าร้านสะดวกซื้อและร้านอาหารต่างๆ มากกว่า 5 ครั้งต่อสัปดาห์ เข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตราว 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ และเข้าตลาดสดเหลือเพียง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ การเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตคนเมืองดังที่ได้กล่าวไป โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เข้าถึงเศรษฐกิจดิจิทัลผ่านสมาร์ทโฟนและแอพลิเคชั่นต่างๆ ทำให้ทุกวันนี้ ตลาดสด หรือตลาดในรูปแบบดั้งเดิมแทบจะไม่เหลือความสำคัญในชีวิตคนทำงาน และน้อยนักที่เด็กสมัยนี้จะยังมีตลาดสดเป็นภาพจินตนาการอยู่ในใจ
แม้การใช้งานตลาดสดจะเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ตลาดสดยังคงมีคุณค่าและความสำคัญหลงเหลืออยู่บ้าง ความสำคัญดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะตลาดสดยังมีความหลากหลายทางวัตถุดิบพร้อมตอบสนองผู้ที่รักในการทำอาหารไทย เพราะตลาดสดยังมีความสำคัญให้กับกลุ่มคนจากต่างถิ่นที่ต้องการลิ้มรสชาติอาหารจากบ้านเกิด เพราะตลาดสดยังเป็นพื้นที่ที่คนซื้อยังมีโอกาสต่อราคาให้เหมาะสมกับกำลังซื้อ โดยที่ตลาดสดยังคงเป็นที่พบปะสังสรรค์ ที่พบเจอเพื่อนฝูง ที่สาธารณะเมืองเพียงไม่กี่แห่งที่ทำให้คนสูงอายุได้พบเจอผู้คน เพื่อนบ้าน หรือคนในละแวกเดียวกัน จากมุมมองเหล่านี้ ตลาดจึงยังคงเป็นสาธารณูปการที่เป็น “พื้นที่แห่งชีวิต” ของเมือง และเป็นแหล่งรวมทั้งวัฒนธรรมทางอาหารและสังคมไว้ด้วยกัน
จากความเปลี่ยนแปลงและความสำคัญที่ยังคงอยู่ของ “ตลาด” ในเมือง ทีมงาน UddC Urban Insights ร่วมกับโครงการวิจัยคนเมือง 4.0 หันมานึกถึงคนแก่ที่อาศัยอยู่ในเมือง ที่ขับรถหรือมอเตอร์ไซค์เองไม่ค่อยไหวแล้ว ที่ใช้แอพลิเคชั่นในมือถือก็ไม่ค่อยจะเป็น แต่ยังมีแรงในการใช้ชีวิตประจำวันอยู่ หรือกลุ่มคนเปราะบางในเมือง ซึ่งมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งอาหารราคาแพงตามห้างสรรพสินค้า และมีข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการเดลิเวอรี่ขนส่งอาหาร เราหันมาสงสัยว่าคนแก่และกลุ่มคนเปราะบางของเมืองเหล่านี้จะมีทางเข้าถึงแหล่งอาหารได้อย่างไรบ้าง ทั้งนี้ สังคมไทยไม่ได้เผชิญกับสังคมสูงอายุอยู่เพียงมิติเดียว แต่เรายังอยู่กับสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำทั้งทางรายได้ และความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้น การเข้าใจการเข้าถึง “ตลาด” หรือแหล่งอาหารและของสดต้องคำนึงถึงประเด็นเหล่านี้ไปพร้อมๆ กัน
ในการศึกษาการเข้าถึงตลาดครั้งนี้ ทางทีมงานได้พิจารณาการเข้าถึงตลาดจากถนนเส้นต่างๆ ผ่านเทคนิคการวิเคราะห์โครงข่าย (Network Analysis) ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) โดยกำหนดขอบเขตระยะทางไม่เกิน 5 กิโลเมตร การแสดงผลผ่านแผนที่ด้านล่างทำให้เราพบว่ากรุงเทพฯ ยังคงมีพื้นที่ถึง 18.3% ของเมืองที่ยังไม่มีตลาดในระยะ 5 กิโลเมตร หรือละแวกใกล้เคียง ทั้งที่ความสำคัญในการเข้าถึงอาหารเป็นประเด็นที่เราต้องคำนึงถึงทุกวันในฐานะปัจจัยพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิต ในทางกลับกัน ตลาดยังมีอยู่มากมายในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ทั้งที่ที่อยู่อาศัยคนเมืองจะเริ่มกระจายตัวออกไปอยู่รอบนอกกรุงเทพฯ มากแล้วก็ตาม
ในอีกมุมหนึ่ง หากเรามองไปถึงคนแก่ที่อยู่ในพื้นที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย ซึ่งรวมถึงอาคารสงเคราะห์ ชุมชนบ้านมั่นคง และชุมชนอื่นๆ ในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร คนกลุ่มนี้อาจมีข้อจำกัดทางรายได้และการเดินทางมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ซึ่งการแสดงผลผ่านแผนที่ด้านล่างทำให้เราพบว่าจริงๆ แล้วชุมชนกับตลาดสดยังคงเป็นของคู่กันอยู่ โดยมีชุมชนกว่า 1,200 ชุมชนในกรุงเทพมหานครที่ตั้งอยู่ในระยะ 1.5 กิโลเมตรจากตลาด และในชุมชนเหล่านั้น มีถึง 840 ชุมชนที่อยู่ใกล้ตลาดในระยะ 1 กิโลเมตรที่สามารถเดินไปตลาดได้โดยสะดวก แต่ในขณะเดียวกัน กรุงเทพมหานครก็ยังคงมีชุมชนอีก 65 ชุมชนที่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากตลาด หรือแหล่งอาหารและวัตถุดิบที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐาน
ถึงแม้พื้นที่สีน้ำเงินและสีม่วงจะเป็นพื้นที่ที่ห่างไกลจากตลาดในระยะต่างๆ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าคนแก่ในพื้นที่เหล่านั้นจะเข้าถึงอาหารไม่ได้ซะทีเดียว สำหรับคนแก่ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับลูกหลานที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน เขาก็สามารถฝากลูกหลานซื้ออาหารเข้ามาที่บ้านได้เป็นเรื่องปกติ สำหรับคนที่มีฐานะขึ้นมาหน่อยแม่บ้านก็อาจจะรับหน้าที่นั้นแทน สำหรับคนที่อยู่ในชุมชนรายได้น้อยแต่มีความเหนียวแน่นกับเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี เขาก็ยังคงมีเพื่อนบ้านบางคนที่จะยินดีช่วยเหลือ นอกจากนี้คนแก่ในหลายพื้นที่ยังสนิทกับคนขับวินมอเตอร์ไซค์ประจำซอย ทำให้เขาสามารถขอความช่วยเหลือได้โดยง่าย ความสัมพันธ์เหล่านี้จึงยังคงเป็นพื้นฐานในการสร้างพลังและความยืดหยุ่น (resilience) ให้กับชีวิตบั้นปลายของคนแก่ และเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญสำหรับการดูแลคนแก่ในสังคมผู้สูงวัยของประเทศไทย
จากที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ตลาดสดไม่ได้มีหน้าที่เป็นเพียงแหล่งวัตถุดิบและอาหารที่สำคัญของชีวิตคนเมือง แต่ตลาดยังเป็นพื้นที่ให้คนมาพบปะกัน เป็นสถานที่สร้างสัมพันธ์ทางชุมชนในอีกรูปแบบหนึ่ง หรือเราอาจพูดได้ว่าตลาดเป็นแหล่งอาหารทั้งทางกายและทางใจให้กับหลายๆ คน ที่ซึ่งซุปเปอร์มาร์เก็ตอาจจะพอแทนได้บ้าง แต่สำหรับคนส่งของผ่านแอพลิเคชั่นนั้นคงจะเป็นไปได้ยากกว่ามาก ทั้งนี้ พฤติกรรมการซื้อของที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายก็เริ่มที่จะหายไปจากฉากและบทบาทสมมติในสายตาเด็กๆ ไปแล้ว
นอกจากมุมมองของผู้ซื้อที่ให้ความสำคัญกับราคาและความสัมพันธ์ทางสังคมแล้ว ในความเป็นจริง การจับจ่ายซื้อของในตลาดสด ตลาดนัด หรือแม้แต่กับรถพุ่มพวงยังคงมีคุณค่าทางเศรษฐกิจอีกด้วย เพราะเงินในการใช้จ่ายในตลาดสดจะถูกยื่นตรงให้กับผู้ค้ารายย่อย เป็นการกระจายรายได้โดยตรงให้กับผู้ขายของรายย่อยต่างๆ ไปในตัว จากมุมมองนี้ พื้นที่ตลาดสดและกิจกรรมนอกระบบเหล่านี้ยังคงเป็นพื้นที่สร้างโอกาสในการหารายได้ให้กับคนอีกหลายต่อหลายคนในประเทศไทย
หากคนคนแก่ส่วนมากเติบโตมากับการไปเดินตลาดสด พวกเราวัยทำงานหลายคนคงเติบโตมากับซุปเปอร์มาร์เก็ต และคงจะมีเพียงไม่กี่คนที่ยังคงไปตลาดสดอยู่เป็นประจำ หลายคนอาจจะผันตัวมาซื้อของในร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านแทน หรือบางคนก็อาจจะเลือกสั่งอาหารที่ทำเสร็จแล้วจากร้านอาหารผ่านแอพลิเคชั่นต่างๆ มาแทนการทำอาหารไปเลยก็เป็นได้ พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของพวกเราทุกคนล้วนมีส่วนทำให้การใช้เมืองของเราต่างไป และในทางกลับกันก็เริ่มเห็นว่าองค์ประกอบต่างๆ ในเมืองก็ถูกเปลี่ยนเพื่อตอบสนองความต้องการที่ต่างไปของคนเมืองเช่นกัน ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นธรรมชาติของเวลาและสังคมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกให้ความสำคัญและเลือกว่าอยากให้อะไรคงอยู่คู่กับการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เมืองยังคงสามารถตอบรับกับความต้องการของคนที่หลากหลายทั้งในเชิงอายุ รายได้ และทักษะทางเทคโนโลยีทั้งในปัจจุบันและอนาคต
เรื่อง/วิเคราะห์ข้อมูล:
ว่าน ฉันทวิลาสวงศ์ และ อดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้
ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC)
ที่มาข้อมูลในการวิเคราะห์เชิงพื้นที่:
Nostra Map. (2557). ข้อมูลเชิงพื้นที่ตำแหน่งตลาด ตำแหน่งชุมชน และถนน